ฝ่ายวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) คาดการณ์ระบาดโควิด-19 ระลอกล่าสุดฉุด GDP ลงจากประมาณการเดิม 0.8% ตามอุปสงค์ในประเทศที่ซบเซา ท่องเที่ยวฟื้นตัวช้า โดยสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ได้เข้าสู่กรณีเลวร้ายที่วิจัยกรุงศรีเคยคาดการณ์ไว้ครั้งก่อน จึงได้ปรับขยับสถานการณ์การระบาดดังกล่าวมาเป็นกรณีฐานในการประมาณการครั้งล่าสุด เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันที่เร่งขึ้นใกล้แตะระดับ 10,000 รายในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม นอกจากนี้ ภายใต้สมมติฐานการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในระยะข้างหน้าคาดว่าจะมีสาเหตุจากไวรัสสายพันธุ์เดลตา และเบตาเป็นหลัก ดังนั้น ข้อมูลรูปแบบการติดเชื้อจึงอ้างอิงจากประเทศอินเดีย แอฟริกาใต้ และอังกฤษ
กอปรกับมาตรการล็อกดาวน์ในบางพื้นที่ของไทยในช่วงเดือนกรกฎาคม คาดว่าจะมีผลกระทบราว 70% ของช่วงที่มีมาตรการล็อกดาวน์ในเดือนเมษายน 2563 แบบจำลองชี้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่อาจเพิ่มขึ้นเป็น 15,000 รายต่อวันได้ภายในต้นเดือนสิงหาคม ขณะที่สมมติฐานด้านการฉีดวัคซีนของไทย คาดอัตราการฉีดเฉลี่ยอยู่ที่ 250,000 โดสต่อวันในช่วงที่เหลือของปีนี้ ทำให้เมื่อถึงสิ้นปีจะมีจำนวนวัคซีนฉีดแล้วราว 55 ล้านโดส ซึ่งอาจช่วยลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในแต่ละวันได้บ้างโดยเฉพาะหลังจากเดือนกันยายน อย่างไรก็ดี ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของวัคซีนเป็นสำคัญที่จะช่วยลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน (สมมติฐานประสิทธิภาพของวัคซีนอยู่ที่ 60%) ในกรณีฐานดังกล่าวนี้ คาดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันจะลดลงมาต่ำกว่า 1,000 ภายในเดือนพฤศจิกายน
จากการคาดการณ์ดังกล่าวจึงปรับประมาณการ GDP ปี 2564 ลง 0.8% เหลือขยายตัว 1.2% จากผลกระทบของการระบาดของ COVID-19 ที่รุนแรงและยาวนานกว่าคาด ท่ามกลางมาตรการช่วยเหลือที่ค่อนข้างจำกัด โดยมีผลเชิงบวกอยู่บ้างจากภาคส่งออกที่เติบโตแข็งแกร่ง
ทั้งนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันในประเทศทวีเพิ่มขึ้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตา กอปรกับความกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีน และการฉีดวัคซีนที่ยังมีความล่าช้า ชี้ว่าการดำเนินมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มข้นอาจดำเนินต่อไปจนถึงเดือนตุลาคม จึงคาดว่าผลกระทบเชิงลบโดยรวมที่เกิดจากการหยุดชะงักของอุปทาน การลดลงของอุปสงค์ และกิจกรรมการท่องเที่ยวอ่อนแอลง ฉุดการเติบโตของ GDP ของไทยในปีนี้ลดลง 2.0% อย่างไรก็ตาม คาดว่าการส่งออกที่แข็งแกร่งจะช่วยหนุนการเติบโตของ GDP ปีนี้บวกขึ้น 0.6% สำหรับการออกมาตรการเยียวยาจากภาครัฐที่คาดว่าจะมีเพิ่มเติมวงเงิน 1 แสนล้านบาทในปีนี้น่าจะสามารถช่วยเพิ่มการเติบโตของ GDP ได้อีก 0.6% แต่มาตรการทั้งทางการคลังและการเงินอาจมีผลบวกค่อนข้างจำกัดเมื่อเทียบกับขนาดของผลกระทบจากการระบาดระลอกนี้และขนาดของมาตรการที่ดำเนินการในอดีตที่ผ่านมา ผลกระทบสุทธิต่อการเติบโตของ GDP ของไทยรวมแล้วจะลดลงจากคาดการณ์เดิม 0.8% ทำให้ประมาณการอัตราการขยายของเศรษฐกิจในปี 2564 เหลือเติบโตเพียง 1.2% จากเดิมครั้งก่อนคาดไว้ที่ 2.0%
วิจัยกรุงศรีประเมินการฟื้นตัวในรูปแบบตัว “K” จะปรากฏชัดขึ้น โดยภาคท่องเที่ยวจะยังฟื้นตัวได้ช้าแม้จะสามารถเริ่มโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ได้ แต่การระบาดที่รุนแรงและยาวนานเกินคาดทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้คาดว่าจะมีเพียง 0.21 ล้านคน (เดิมคาด 0.33 ล้านคน) ด้านตลาดแรงงานที่อ่อนแอ หนี้ภาคครัวเรือนในระดับสูงและรายได้ที่ลดลง รวมถึงมาตรการพยุงเศรษฐกิจที่มีจำกัด การบริโภคภาคเอกชนในปีนี้อาจมีแนวโน้มเติบโตชะลอลงเหลือ 1.1% (เดิม 1.8%) ส่วนในแง่บวก อานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและการกลับมาเปิดดำเนินการของกิจกรรมเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ช่วยหนุนให้การขยายตัวของภาคส่งออกของไทยในปีนี้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ถึง 15% (ฐานตัวเลขของ ธปท.) จากเดิมคาดโต 9.5% แนวโน้มการส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้นนี้จะช่วยบรรเทาผลกระทบต่อการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนภาคเอกชนในปีนี้ได้บ้าง