xs
xsm
sm
md
lg

คาดล็อกดาวน์อย่างน้อย 3 เดือน กด GDP จาก 1.5% เหลือ 0.5%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



KKP Research คาดการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 อาจมีแนวโน้มยืดเยื้อกว่าที่หลายฝ่ายประเมิน มองการระบาดในระลอกนี้อาจจะไม่สามารถจบได้เร็วแบบเดียวกับปีก่อน ทั้งจากไวรัสที่ระบาดเป็นสายพันธุ์ใหม่ คือ สายพันธุ์เดลตาที่มีความสามารถในการระบาดสูงกว่าเดิมมาก ประกอบกับมาตรการล็อกดาวน์ที่เริ่มต้นช้า นโยบายจำนวนการตรวจโรคที่เป็นข้อจำกัดที่อาจทำให้เราประเมินสถานการณ์ต่ำกว่าความจริง และสัดส่วนของคนที่มีภูมิคุ้มมีน้อยมากจากอัตราการฉีดวัคซีนที่ทำได้ช้า และวัคซีนมีประสิทธิผลในการป้องกันต่อเชื้อเดลตาต่ำ

กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่าการระบาดระลอกปัจจุบันของไทยจะต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างน้อย 3 เดือนกว่าสถานการณ์จะบรรเทาความรุนแรงลง ซึ่งจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจจากการบริโภคและการลงทุนที่จะลดลงในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งจะส่งผลให้การเติบโตของการบริโภคทั้งปีติดลบ และกระทบต่อการคาดการณ์ GDP ในปี 2021 จากการเติบโตที่ 1.5% เหลือเพียง 0.5% แม้ว่าการส่งออกจะสามารถขยายตัวได้ดีขึ้นก็ตาม เมื่อนับรวมกับบตัวเลขการคาดการณ์ GDP ในปี 2022 ที่ 4.6% ทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้รวมกับปีหน้าที่ระดับ 5.1% ไม่เพียงพอชดเชยการหดตัวของเศรษฐกิจในปี 2020 ที่หดตัวลง 6.1% และเศรษฐกิจไทยต้องใช้เวลาถึงช่วงครึ่งแรกของปี 2023 ในการกลับเข้าสู่ระดับก่อนการระบาดของโควิด-19

อย่างไรก็ตาม ในกรณีเลวร้ายหากจำเป็นต้องมีการล็อกดาวน์ที่ยาวนานกว่า 3,เดือน หรือต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่มีข้อจำกัดมากขึ้น กระทบต่อภาคการผลิตและการส่งออกซึ่งเป็นความหวังสุดท้ายของเศรษฐกิจไทย KKP Research ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะถูกกระทบเพิ่มเติมอีก -1.3% และทำให้เศรษฐกิจในปีนี้หดตัวลง 0.8%

การแพร่ระบาดระลอกปัจจุบันอาจลากยาว GDP จาก 1.5% เหลือ 0.5%


จากสถิติการระบาดใหญ่ในต่างประเทศ การแพร่ระบาดหนึ่งรอบกินระยะเวลาเฉลี่ย 120-150 วัน สำหรับกรณีประเทศไทย เมื่อพิจารณาปัจจัยอื่นประกอบ เช่น ประสิทธิผลของวัคซีนที่ลดลงต่อเชื้อสายพันธุ์เดลตา แผนการจัดหาวัคซีน และสถานการณ์ระบบสาธารณสุขในปัจจุบัน KKP Research ประเมินว่า การแพร่ระบาดอาจจะเกิดขึ้นยาวนานต่อเนื่องในอีก 6 เดือนข้างหน้า โดยแบ่งเป็น 2 กรณี

1.กรณีฐาน (Base case)
มีสมมติฐานว่ามาตรการล็อกดาวน์ในระดับเท่ากับเดือนเมษายน 2020 (Oxford Stringency Index อยู่ในช่วง 60-80) เกิดขึ้นในไตรมาส 3, สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ดี และสิ้นไตรมาสที่ 3 มีผู้ฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 โดสคิดเป็น 30% ของจำนวนประชากร ซึ่งน่าจะสามารถลดอัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลอัตราเสียชีวิตลงได้ในระดับหนึ่งแต่อาจไม่สามารถลดการติดเชื้อได้ เนื่องจากวัคซีนส่วนใหญ่ที่ใช้มีประสิทธิผลต่อไวรัสสายพันธุ์เดลตาไม่ดีนัก จึงส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อถึงจุดสูงสุดภายในกลางไตรมาส 3 และค่อยๆ ปรับลดลงในไตรมาส 4

2.กรณีเลวร้าย (Worse case)
ภายใต้สมมติฐานว่ามาตรการล็อกดาวน์ในระดับเท่ากับเดือนเมษายน 2020 ไม่สามารถที่จะหยุดยั้งการแพร่ระบาดได้ คาดว่ายอดผู้ติดเชื้อจะถึงจุดสูงสุดภายในปลายไตรมาส 3 และปรับลดลงมาอยู่ในระดับ 2,000 ราย ในช่วงเดือนธันวาคม จนต้องมีการใช้มาตรการที่รุนแรงขึ้น ในลักษณะเดียวกับประเทศชิลี อินเดีย และมาเลเซีย (Oxford Stringency Index มากกว่า 80) ที่อาจกระทบต่อภาคการผลิตมากขึ้น เช่น การจำกัดจำนวนคนและหรือช่วงเวลาที่สามารถเดินทางออกจากบ้าน การห้ามเดินทางออกจากบ้านที่เข้มข้นขึ้น รวมไปถึงการห้ามการทำงานยกเว้นอุตสาหกรรมที่จำเป็น เป็นต้น

แผนวัคซีนที่ล่าช้าและไม่แน่นอน เพิ่มต้นทุนต่อเศรษฐกิจจากการล็อกดาวน์เพิ่มเติม


ปัจจุบัน มีคนไทยได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้วเพียง 3.5 ล้านคน หรือคิดเพียง 5% ของประชากร และเกือบทั้งหมดได้รับวัคซีน Sinovac (3.3 ล้านคน) ที่มีงานวิจัยพบว่ามีประสิทธิผลจำกัดต่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตา และมีแนวโน้มที่ภูมิคุ้มกันลดลงเรื่อยๆ ความไม่แน่นอนในการจัดหาวัคซีนกำลังสร้างความเสี่ยงต่อสร้างภูมิคุ้มกันโดยรวม KKP Research คาดว่าภายในสิ้นปีนี้ เพียง 35% ของประชากรจะได้รับวัคซีนครบ 2 โดส

การฉีดวัคซีนที่ล่าช้าเพิ่มต้นทุนทางเศรษฐกิจผ่านการปิดเมืองเพิ่มเติม จากการศึกษาของกลุ่มประเทศ OECD พบว่า การมีสัดส่วนประชากรที่ฉีดวัคซีนแล้วครบ 2 โดส สามารถลดการแพร่ระบาดได้เทียบเท่ามาตรการล็อกดาวน์บางมาตการ เช่น หาก 7% ของประชากรได้รับฉีดวัคซีนครบ 2,โดสจะลดโอกาสการแพร่ระบาดเฉลี่ยได้เทียบเท่ามาตรการปิดโรงเรียน คำสั่งห้ามออกนอกเคหสถาน หรือการห้ามเดินทางระหว่างประเทศ แต่ถ้าหากมีประชากรได้รับวัคซีนครบ 2 โดสในระดับมากกว่า 13% ของประชากร จะสามารถลดการแพร่ระบาดได้ผลเทียบเท่ามาตรการปิดสถานที่ทำงาน สำหรับประเทศไทยที่สัดส่วนประชากรที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้วยังอยู่ในระดับต่ำมาก ทางออกที่เหลืออยู่จึงเป็นมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และเป็นการเพิ่มต้นทุนทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

ล็อกดาวน์ต้องทำอย่างเป็นระบบ เพราะประสิทธิผลอยู่ได้ไม่เกิน 2 เดือน


ไทยปิดเมืองมากไปปีที่แล้วและช้าไปในปีนี้ ในการระบาดรอบแรกเมื่อปีที่แล้ว ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่อยู่ในระดับต่ำ (ยอดผู้ติดเชื้อต่อวันสูงสุดเพียง 188 คน) แต่ไทยเลือกที่จะใช้มาตรการอย่างเข้มงวดในการปิดเมืองทั่วประเทศซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ในขณะที่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา จำนวนผู้ติดเชื้อที่รักษาตัวในโรงพยาบาล (Active case) สูงขึ้นมาก แต่มาตรการกลับมีความผ่อนคลายค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับการระบาดครั้งก่อน จนทำให้สถานการณ์เกิดการระบาดอย่างรุนแรง

งานศึกษามหาวิทยาลัย Harvard ใน 152 ประเทศชี้ว่า มาตรการล็อกดาวน์มีข้อจำกัดสำคัญ คือ ผลของมาตรการจะมีประสิทธิผลสูงสุดไม่เกินช่วง 2 เดือนแรก โดยหลังจากบังคับใช้มาตรการผ่านไป 60 วัน ผลที่ได้จะไม่ดีมาก เนื่องจากความร่วมมือต่อมาตรการจะลดลงอย่างมาก (lockdown fatigue) ด้วยข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจและสังคมทำให้การล็อกดาวน์ให้ประสบผลสำเร็จจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายและต้องแข่งกับเวลา และในขณะเดียวกัน ถึงแม้จะมีการล็อกดาวน์ที่เข้มข้น แต่สิ่งสำคัญต้องทำควบคู่กันไปด้วยเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายได้เร็วยิ่งขึ้น คือ 1) เร่งเพิ่มศักยภาพในการตรวจหาเชื้อ เช่น การแจกหรือการอุดหนุน rapid antigen test และ facility สำหรับ home isolation 2) จัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิผลสูงต่อสายพันธุ์เดลตา

ทั้งนี้ หากมาตรการที่ไทยใช้อยู่ในปัจจุบัน ไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ มีความเป็นไปได้ที่ต้องใช้มาตรการที่เข้มข้นขึ้น เช่น มาตรการปิดสถานที่ทำงาน แต่มาตรการเหล่านี้ต้องมีการวางแผนและประสานงานเพื่อลดผลกระทบ และความสับสน และทำให้บังคับใช้มาตรการได้อย่างมีประสิทธิผลมากที่สุด โดยนโยบายรัฐต้องเพียงพอและลดความไม่แน่นอนโดยหลายมาตรการที่รัฐบาลควรเร่งปรับปรุงนโยบาย และออกมาตรการเพื่อควบคุมสถานการณ์ ลดผลกระทบ ได้แก่

ควรมีการประเมินสถานการณ์และสื่อสารกับประชาชนอย่างโปร่งใสและตรงไปตรงมา
เพื่ออธิบายถึงสถานการณ์อย่างตรงไปตรงมา และขอความร่วมมือจากประชาชนอย่างชัดเจน

ควรจัดทำแผนมาตรการล็อกดาวน์ที่มองไปข้างหน้า
สอดคล้องกับสถานการณ์ และสมเหตุสมผล และสื่อสารแผนการบังคับใช้และผ่อนคลายไว้ล่วงหน้า

เร่งเพิ่มศักยภาพในการตรวจหาโรค
การสอบสวนโรค การแยกผู้ป่วย และการรักษา และปรับปรุงนโยบายที่เป็นอุปสรรคต่อศักยภาพในการตรวจโรค

เร่งจัดหาวัคซีน mRNA
ที่หลักฐานสนับสนุนในการป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดลตฟาให้เร็วที่สุด เพื่อเร่งสร้างภูมิคุ้มกันของประชาชน

จัดเตรียมนโยบายเยียวยาประชาชนและธุรกิจที่เหมาะสมต่อระดับและระยะเวลามาตรการล็อกดาวน์
เพื่อสนับสนุนให้มาตรการใช้ได้ผลจริง ลดผลกระทบต่อประชาชน และป้องกันไม่ให้เกิดแผลเป็นถาวรทางเศรษฐกิจ และรักษาเศรษฐกิจให้สามารถฟื้นตัวกลับมาได้โดยเร็วเมื่อสถานการณ์การระบาดปรับตัวดีขึ้น

แม้ระดับหนี้สาธารณะมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น
แต่ด้วยอัตราดอกเบี้ยปรับลดลงทำให้รายจ่ายดอกเบี้ยเป็นภาระต่องบประมาณน้อยลง เราเชื่อว่าประเทศยังมีศักยภาพในการสร้างหนี้เพิ่มหากมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและประชาชน โดยจำเป็นต้องมีแผนในการลดการขาดดุลในอนาคต และต้องจัดลำดับความสำคัญของการใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพที่สุด

นโยบายการคลังและนโยบายการเงินควรต้องมีการประสานงานและมีบทบาทมากขึ้น
เพื่อจัดหามาตรการเพื่อแก้ปัญหาการหยุดชะงักของเศรษฐกิจ กระแสเงินสด และความสามารถในการจ่ายคืนหนี้ของครัวเรือนและธุรกิจ และรักษาการทำงานของภาคการเงิน และเสถียรภาพของระบบการเงินของประเทศ


กำลังโหลดความคิดเห็น