ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ ยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 109.30 ล้านหุ้น และเตรียมเข้าจดทะเบียนใน SET ตั้ง บล.บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ปัจจุบัน TFM มีทุนจดทะเบียน จำนวน 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 500.0 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 2 บาท โดยเป็นทุนชำระแล้วทั้งสิ้น จำนวน 820 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 410.0 ล้านหุ้น และจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 109.3 ล้านหุ้น แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน 90.0 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) จำนวน 19.3 ล้านหุ้น รวมทั้งหมดคิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 21.9 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้
นายบรรลือศักร โสรัจจกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TFM เปิดเผยว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ในการขยายธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในประเทศอินโดนีเซียและปากีสถาน ชำระคืนเงินกู้ยืม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในอนาคต
สำหรับบริษัทฯ ถือเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เศรษฐกิจและผู้นำในอุตสาหกรรมสัตว์น้ำของคนไทย ซึ่งเป็นบริษัทย่อยและเป็นบริษัทแกนนำ (Flagship) ในการดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์น้ำของกลุ่มบมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป หรือ TU ผู้นำด้านอาหารทะเลระดับโลก ซึ่งได้เล็งเห็นความสำคัญของธุรกิจอาหารสัตว์น้ำที่เติบโตตามความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก และเป็นภาคอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจรวมถึงคุณภาพชีวิตของประชาชนไทย
โดย TFM มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมานานกว่า 20 ปี สั่งสมองค์ความรู้รวมถึงมีการนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการผลิตสินค้า ภายใต้วิสัยทัศน์ของ TFM คือ การเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์น้ำที่มีคุณภาพดีที่สุด เพื่อการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน ที่ผ่านมา TFM จึงมุ่งเน้นผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีและมีความหลากหลาย ครอบคลุมการเพาะเลี้ยงตลอดวงจรชีวิตของสัตว์น้ำในราคาที่สามารถแข่งขันได้เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าในวงกว้าง ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการเติบโตของลูกค้าเกษตรกรในประเทศไทยและการยกระดับอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของไทย ภายใต้ระบบการผลิตที่ทันสมัยในโรงงานผลิตที่จังหวัดสมุทรสาคร และสงขลา ด้วยกำลังการผลิตรวมในปัจจุบันทั้งหมดที่ 280,000 ตันต่อปี โดยผลิตภัณฑ์และแบรนด์สินค้าของ TFM ได้รับความเชื่อมั่นในด้านคุณภาพในระดับสากล
ทั้งนี้ TFM มีการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์สินค้าหลักของบริษัทฯ ได้แก่ โปรฟีด (PROFEED) นานามิ (NANAMI) อีโก้ฟีด (EGOFEED) แอคควาฟีด (AQUAFEED) และดี-โกรว์ (D-GROW) เป็นต้น ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่
1.ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารกุ้ง โดย TFM เป็นหนึ่งในผู้นำในกลุ่มตลาดอาหารกุ้ง มีส่วนแบ่งการตลาดอาหารกุ้งประมาณร้อยละ 17 ของปริมาณอาหารกุ้งไทย (ปี 63)
2.ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารปลา (รวมอาหารกบและอาหารปู) แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ อาหารปลาทะเล เช่น อาหารปลากะพง และปลาเก๋า เป็นต้น อาหารปลาน้ำจืด เช่น อาหารปลานิล และปลาดุก อาหารสัตว์น้ำวัยอ่อน สำหรับการอนุบาลลูกปลา และอาหารกบ โดย TFM เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกและเป็นผู้นำในกลุ่มตลาดอาหารปลากะพง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์อาหารปลาที่มีราคาจำหน่ายและอัตรากำไรค่อนข้างสูงกว่าอาหารปลาประเภทอื่นๆ มีส่วนแบ่งการตลาดอาหารปลากะพง ประมาณร้อยละ 24 ของปริมาณอาหารปลากะพงไทย (ปี 63)
3.ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารสัตว์บก แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ อาหารสุกร และอาหารสัตว์ปีก ได้แก่ อาหารไก่ อาหารเป็ด และอาหารนกกระทา โดยบริษัทฯ ได้เริ่มขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจอาหารสัตว์บกในช่วงปลายปี 61 และปริมาณการขายอาหารสัตว์บกของบริษัทฯ มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีผลเป็นที่น่าพ่อใจ
นายบรรลือศักร กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งเน้นนำความเชี่ยวชาญ เทคนิคการผลิต และนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์น้ำใหม่ๆ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะทาง เช่น เป็นผู้บุกเบิกการใช้อาหารเม็ดสำเร็จรูปในการเพาะเลี้ยงปลากะพง รวมถึงคิดค้นสูตรการผลิตใหม่ๆ เช่น สูตรการผลิตอาหารสัตว์น้ำที่ลดปริมาณการใช้ปลาป่นและน้ำมันปลา และสูตรการผลิตอาหารปลาสลิด อาหารปู เป็นต้น
บริษัทยังได้ขยายธุรกิจไปยังประเทศที่อุตสาหกรรมสัตว์น้ำมีศักยภาพในการเติบโต ในขณะที่บริษัทฯ จะสามารถใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญและความพร้อมทางด้านบุคลากรและแหล่งเงินทุนของบริษัทฯ และยังเป็นตัวแทนของประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตอาหารสัตว์เศรษฐกิจเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาคเอเชีย โดยเริ่มจากประเทศอินเดีย และขยายไปยังปากีสถานและอินโดนีเซีย ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินธุรกิจและรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ และภายในสิ้นปีนี้ ตามลำดับ ซึ่งนับจากนี้เป็นต้นไป TFM พร้อมก้าวไปอีกขั้นด้วยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
โครงสร้างรายได้สำหรับปี 61-63 และสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.63 และ ปี 64 มีรายได้จากการขายเกือบทั้งหมด คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 86-98 ของรายได้จากการขาย แบ่งเป็นการขายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์น้ำ ซึ่งได้แก่ อาหารกุ้ง และอาหารปลา (รวมอาหารกบและอาหารปู) ทั้งนี้ ในช่วงปลายปี 61 บริษัทฯ ได้มีการขยายธุรกิจไปยังธุรกิจการผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์บก ซึ่งได้แก่ อาหารเป็ด อาหารไก่ และอาหารสุกร เป็นต้น