xs
xsm
sm
md
lg

ORI ดัน "บริทาเนีย" เข้าตลาดหุ้น ขาย IPO-ESOP Warrant เล็งยื่นไฟลิ่ง Q3/64

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 6/2564 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2564 ได้มีมติอนุมัติแผนการออกและเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ของบริษัท บริทาเนีย จำกัด (BRI) ต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และการนำ BRI เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดว่าจะดำเนินการยื่นคำขออนุญาตเพื่อเสนอขายหุ้น IPO ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ภายในไตรมาส 3/64 เพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการ และ/หรือการขยายธุรกิจ และ/หรือ เพื่อชำระเงินกู้ยืม และ/หรือเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

BRI คาดว่าจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป และผู้ลงทุนประเภทอื่นๆ และเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิ ซึ่งมีหุ้นที่จัดสรรไว้รองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิให้แก่กรรมการผู้บริหาร และ/หรือพนักงานของ BRI และ/หรือบริษัทย่อยของ BRI รวมทั้งหมดคิดเป็นจำนวนไม่เกิน 30% ของทุนชำระแล้วทั้งหมดของ BRI ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO และการใช้สิทธิ ESOP Warrant (ภายใต้สมมติฐานว่ามีการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนและการใช้ตามใบสำคัญแสดงสิทธิทั้งจำนวน)

ทั้งนี้ การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของ ORI ใน BRI ลดลงจาก 99.99% เป็นไม่ต่ำกว่า 70% ของทุนชำระแล้ว

ในการนี้ BRI มีแผนการในการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนออกใหม่ส่วนหนึ่งให้แก่ผู้ถือหุ้น ORI เฉพาะกลุ่มที่มีสิทธิได้รับจัดสรรหุ้น (Pre-emptive Offering) และการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนและใบสำคัญแสดงสิทธิให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานของ ORI, BRI และ/หรือบริษัทย่อยของ BRI ซึ่งในรายละเอียดจะได้มีการกำหนดต่อไป

ขณะที่ BRI มีแผนออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของ BRI (ESOP Warrant) จำนวนไม่เกิน 4,490,000 หน่วย โดยกำหนดจะจัดสรรให้กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน BRI และ/หรือบริษัทย่อยของ BRI โดย Warrant มีอายุ 4 ปี โดยอัตราการใช้สิทธิ ใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วย มีสิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ 1 หุ้น ราคาใช้สิทธิจะต่ำกว่าราคาเสนอขาย IPO ร้อยละ 20.00

ณ วันที่ 8 ก.ค.64 BRI มีทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้ว 300 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 30 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ณวันที่ 31 มี.ค.64 มีสินทรัพย์รวม 7,577.92 ล้านบาท หนี้สินรวม 6,519.09 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 1,058.83 ล้านบาท

รายได้จากการขายและบริการ ในปี 61-63 เท่ากับ 512.94 ล้านบาท 1,556.80 ล้านบาท 2,336.28 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนกำไรสุทธิ ปี 61-63 เท่ากับ 71.65 ล้านบาท 207.14 ล้านบาท 348.72 ล้านบาท ส่วนไตรมาส 1/64 มีรายได้ 834.75 ล้านบาท กำไรสุทธิ 130.68 ล้านบาท

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ORI กล่าวว่า การอนุมัติแผนการ Spin-Off ของ BRI มีเป้าหมายเพื่อให้ BRI เป็นบริษัทแกนนำหลัก (Flagship Company) ของกลุ่ม ORI ในการดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบในประเทศไทย รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมเพิ่มความคล่องตัวในการขยายธุรกิจ

ทั้งนี้ นับแต่ก่อตั้ง BRI ในช่วงปลายปี 2560 บริษัทมีศักยภาพในการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จนปัจจุบันสามารถพัฒนาธุรกิจบ้านจัดสรรครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ได้แก่ เบลกราเวีย (Belgravia) บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี แกรนด์บริทาเนีย (Grand Britania) บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด บริทาเนีย (Britania) บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม และไบรตัน (Brighton) บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม และมียอดพัฒนาโครงการสะสมถึงปัจจุบันทั้งสิ้น 15 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 19,500 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน BRI ยังมีความเข้าใจในความต้องการเชิงลึก (Insight) ของผู้บริโภคเพื่อนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้สามารถตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งคุณภาพ การออกแบบ ทำเล และบริการหลังการอยู่อาศัย ประกอบกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคต้องการพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น ส่งผลให้บ้านจัดสรรเป็นสินค้าที่มีความต้องการและเติบโตสูงขึ้น แม้ในยามที่ภาคเศรษฐกิจได้รับแรงกดดัน บริษัทจึงเล็งเห็นโอกาสในการปรับโครงสร้างการบริหารธุรกิจให้มีความชัดเจน คล่องตัว เพื่อเตรียมขยายธุรกิจเชิงรุกจากความสามารถในการระดมทุนและเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อสร้างการเติบโตที่เป็นไปตามปกติของธุรกิจ (Organic Growth) และการเติบโตแบบก้าวกระโดด (Inorganic Growth)

"แผนการ Spin-Off เพื่อนำ BRI เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของบริทาเนียให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น รวมถึงเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพิ่มเติม สำหรับต่อยอดสู่การพัฒนาโครงการใหม่ๆ ในอนาคต ทั้งยังเอื้อต่อการแสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจที่จะเข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง สามารถขยายธุรกิจบ้านจัดสรรให้ครอบคลุมความต้องการของตลาดยิ่งกว่าเดิม ซึ่งจะช่วยผลักดันผลประกอบการของบริษัทฯ ให้มีแนวโน้มที่ดีและสร้างความมั่นคงในระยะยาว" นายพีระพงศ์ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น