ผู้จัดการรายวัน 360 - บอร์ดเมเจอร์ฯ อนุมัติขายหุ้น "เอสเอฟ" ให้ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา จำนวนกว่า 647 ล้านหุ้น หรือ 30.36% ในราคาหุ้นละ 12 บาท มูลค่ารวม 7,765.90 ล้านบาท มอบหมาย บล.เคจีไอ เป็นที่ปรึกษา คาดได้กำไรจากการขยายหุ้นกว่า 2.8 พันล้านบาท เพื่อนำเงินไปทยอยคืนหนี้เงินกู้ และเสริมสภาพคล่องรองรับแผนการขยายธุรกิจในอนาคต ด้านเซ็นทรัลพัฒนา เตรียมเงินอีกเกือบ 1.8 หมื่นล้าน ทำเทนเดอร์ฯ หุ้นที่เหลือทั้งหมด หวังเสริมความแข็งแกร่งขยายพอร์ต Super Regional Mall เพิ่มเป็น 2 แห่ง ที่เซ็นทรัล เวสต์เกต และเมกาบางนา เติบโตไปพร้อมกับพันธมิตรระดับโลกอย่างอิเกีย
วานนี้ (5 ก.ค.) บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 3/2564 ได้มีมติอนุมัติให้ทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นบริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SF จำนวน 647,158,471 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 30.36% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดให้แก่บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ในราคาหุ้นละ 12 บาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 7,765.90 ล้านบาท โดยแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระในนการโอนขายหุ้นสามัญในครั้งนี้
พร้อมกันนี้ ได้เสนอให้ผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการขายหุ้นครั้งนี้ โดยกำหนดการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2564 ในวันที่ 7 สิงหาคม 2564 โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการเข้าร่วมประชุมในวันที่ 19 กรกฎาคม 2564
สำหรับผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้จากการขายหุ้นในครั้งนี้ บริษัทคาดจะรับรู้กำไรจากการขายหุ้น SF หลังหักภาษีประมาณ 2,824 ล้านบาท เพื่อนำเงินไปทยอยชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมตามสัญญา 5,300 ล้านบาท ใช้เป็นเงินทุนสำหรับแผนยายธุรกิจที่วางไว้ 265 ล้านบาท และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนประมาณ 2,200 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทสามารถลดภาระดอกเบี้ยจ่าย และเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินเพื่อสนับสนุนแผนการขยายธุรกิจในอนาคต
นายวิชา พูลวรลักษณ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR กล่าวเพิ่มเติมว่า การเข้าทำรายการดังกล่าวเป็นการสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อธุรกิจของบริษัทและผู้ถือหุ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เสริมความแข็งแกร่งเพื่อสนับสนุนแผนการขยายธุรกิจในอนาคตเพื่อต่อยอดความเป็นผู้นำธุรกิจโรงภาพยนตร์และศูนย์รวมความบันเทิงของลูกค้าทุกคนต่อไป และเป็นความยินดีอย่างยิ่งที่ได้พันธมิตรทางธุรกิจอย่างเซ็นทรัลพัฒนา ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน SF ในครั้งนี้
สำหรับ SF ก่อตั้งเมื่อปี 2537 ประกอบธุรกิจด้านการพัฒนาและบริหารศูนย์การค้า โดยจะเน้นการพัฒนาประเภทศูนย์การค้าแบบเปิด (Open-Air Shopping Center) ปัจจุบันมีโครงการที่ดำเนินการอยู่ทั้งหมด 18 โครงการ พื้นที่ให้เช่ารวม 430,628 ตารางเมตร ประกอบด้วย 1.ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ เมกาบางนา 2.ศูนย์บันเทิง (Entertainment Center) ที่เอสพละนาด รัชดาภิเษก 3.ร้านค้าปลีก (Stand-Alone Retail Store) ที่เหม่งจ๋าย 4.ศูนย์รวมสินค้าเฉพาะอย่าง (Power Center) 2 แห่ง ที่เพชรเกษม พาวเวอร์ เซ็นเตอร์ และเอกมัย พาวเวอร์ เซ็นเตอร์ นอกจากนี้ ยังมีโครงการศูนย์การค้าชุมชน (Neighborhood Center) 7 แห่ง และศูนย์ไลฟ์ สไตล์ (Lifestyle Center) อีก 6 แห่ง
ด้าน บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา แจ้งเพิ่มเติมว่า ภายหลังการเข้าทำธุรกรรมการซื้อหุ้นเสร็จสิ้น บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมดของ SF ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ ในราคาหุ้นละ 12.00 บาท ภายในวงเงินประมาณ 17,817 ล้านบาท โดยภายหลังจากการทำคำเสนอซื้อบริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษา ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการเพิกถอน SF ออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หากมีความชัดเจนแล้วจะแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป
นายปรีชา เอกคุณากูล กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญของเซ็นทรัลพัฒนา ในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาวตรงตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ โดยเซ็นทรัลพัฒนาเล็งเห็นศักยภาพในธุรกิจของ SF ซึ่งจะช่วยขยายพอร์ตโครงการศูนย์การค้าขนาดใหญ่ระดับ Super Regional Mall ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 2 แห่ง คือ เซ็นทรัล เวสต์เกต และเมกาบางนา ซึ่งทั้ง 2 แห่งถือเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จ อีกทั้งยังต่อยอดการลงทุนร่วมกับอิเกีย ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกของโลก
นอกจากนี้ ยังสามารถเติมเต็มพอร์ต คอมมูนิตี มอลล์ และที่ดินรอการพัฒนาในทำเลศักยภาพสูงทั้ง CBD ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ในจังหวัดต่างๆ ด้วยการผนึกธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัล เพื่อสร้างศูนย์กลางการใช้ชีวิต (Center of Life) ที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น สร้างความสามารถในการแข่งขันและขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจและสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีต่อไปในอนาคต