“เซ็นจูรี่ 21” เผยโควิด-19 ระลอก 3 กระทบอสังหาฯ ถึงขั้นวิกฤต หลังกำลังซื้อลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศหดตัวแรง ชี้เริ่มคิกออฟเปิดประเทศแต่ยังช่วยไม่ไหว ขณะที่ซัปพลายยังเหลือล้น ระบุภาคอสังหาฯ ต้องรับความจริง ปรับตัวลดความเสี่ยงลงทุนรับตลาดซึมยาวอย่างน้อย 2-3 ปี
นายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานและผู้ก่อตั้ง บริษัท เซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของไวรัสโควิด-19 ระลอกที่ 3 ส่งผลให้เศรษฐกิจโดยภาพรวมชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างน่าเป็นห่วงว่าจะไม่สามารถฟื้นตัวได้ในระยะ 1-2 ปี หรืออาจจะต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานถึง 3 ปี หากไม่สามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ให้คลี่คลายไปได้โดยเร็ว
ทั้งนี้ แม้รัฐบาลจะตั้งเป้าหมายเปิดประเทศภายใน 120 วัน และเริ่มต้นโครงการนำร่อง Phuket Sandbox ไปเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่สามารถคาดหวังได้ว่านักท่องเที่ยวจะกลับมา เพราะไทยอยู่ในบัญชีประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโควิด-19 ของหลายๆ ประเทศทั่วโลก ทำให้กลุ่มนักท่องเที่ยวไฮเอนด์ทั้งจากยุโรปและตะวันออกกลางยังไม่กล้าเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของท่องเที่ยว ได้รับผลจากมาตรการรัฐบาลซึ่งห้ามไม่ให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวนอกประเทศ และยังไม่ชัดเจนว่าจะผ่อนคลายเมื่อไร
นายกิติศักดิ์ กล่าวว่า จากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อในภาคอสังหาฯ อย่างรุนแรง โดยเฉพาะกำลังซื้อในภาคการค้าและบริการที่มีรายได้ลดลงมาก ขณะที่กำลังซื้อในกลุ่มอื่นๆ ก็ยังไม่มั่นใจต่อรายได้ในอนาคต ประกอบกับหนี้ครัวเรือนที่สูงเกินกว่า 90% ของ GDP ทำให้ธนาคารเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากยิ่งขึ้น แม้ว่าหลายบริษัทจะประกาศตัวเลขยอดขายที่ดี แต่ยอดปฏิเสธสินเชื่อก็อยู่ในระดับสูงเช่นเดียวกัน ทำให้รายได้อาจไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ขณะเดียวกัน สินค้าคงเหลือที่ประกอบด้วย ที่อยู่อาศัยพร้อมโอน และที่อยู่อาศัยระหว่างการก่อสร้างยังมีเหลืออยู่จำนวนมาก แม้ว่าผู้ประกอบการจะชะลอการลงทุนใหม่ลงไปบ้างแล้วก็ตาม ประกอบกับราคาที่ดินยังไม่ปรับตัวลดลง เนื่องจากที่ดินส่วนใหญ่อยู่ในมือของแลนด์ลอร์ดที่ไม่จำเป็นต้องรีบขายถ้าไม่ได้ราคาที่ต้องการ ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถหาที่ดินเพื่อพัฒนาสินค้าที่สอดรับกับกำลังซื้อที่ลดลงได้
“ต้องยอมรับความจริงกันว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กำลังอยู่ในภาวะวิกฤตอย่างแท้จริง ทุกบริษัทต้องยืนอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงตรงนี้ แม้หลายบริษัทจะประกาศตัวเลขการขายที่ดี แต่ยังไม่รู้เลยว่าจะโอนเป็นรายได้ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะเวลานี้ธนาคารเข้มงวดในการปล่อยกู้อย่างมาก หากผู้ประกอบการลงทุนและดำเนินธุรกิจตามความเป็นจริงของตลาด เชื่อว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะค่อยๆ ผ่านพ้นจากวิกฤตไปได้ แม้จะมีรายได้ที่ลดลง และต้องใช้เวลาฟื้นตัวที่ยาวนานขึ้นก็ตาม”
นายกิติศักดิ์ กล่าวว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นเรื่องของต้นทุนที่ดินค่าก่อสร้าง รวมถึงวัสดุก่อสร้างเหล็กและอื่นๆ ที่ปรับขึ้นราคา สิ่งเหล่านี้ยังพอที่จะแก้ปัญหาได้ แต่สิ่งที่ไม่สามารถแก้ได้เลยคือ Demand ที่น้อยลงหรือลดต่ำลงจนแทบจะไม่มีเลย รวมถึงโรคระบาดที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ได้ส่งผลให้มีการประกาศปิดแคมป์คนงานก่อสร้างเป็นระยะเวลา 30 วัน ทำให้การก่อสร้างล่าช้าและเกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานตามมา
“การสั่งปิดแคมป์คนงาน 30 วัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วระยะเวลาในการปิดแคมป์อาจจะนานมากกว่านั้น ทำให้อาจขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าว หากต้องส่งแรงงานเหล่านี้กลับ อาจจะนำไปสู่ปัญหาในเรื่องของการก่อสร้างที่ล่าช้า ทำให้การส่งมอบงานให้ผู้พัฒนาโครงการและลูกค้าล่าช้าตามไปด้วย ขณะที่การรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ในหลายบริษัทน่าจะเกิดปัญหาอย่างเห็นได้ชัดเจนเริ่มตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ต่อเนื่องไปในไตรมาส 3-4 ของปีนี้อย่างแน่นอน”