LPH เผยดีล M&A โรงพยาบาลเอกชนคืบหน้า เตรียมเซ็น MOU และทำดิวดิลิเจนท์เร็วๆ นี้ พร้อมสรุปดีลไม่เกินสิ้นปี คาดใช้งบไม่เกิน 800 ล้านบาท ขณะที่มั่นใจงบครึ่งปีหลังคาดโตต่อเนื่อง หลังได้โควตาผู้ป่วยประกันสังคมเพิ่มขึ้นและรับรู้รายได้ค่าฉีดวัคซีนโควิด-19 เตรียมขยายบริการ Hospitel เพิ่ม 100 เตียง
นายอังกูร ฉันทนาวานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลลาดพร้าว จำกัด (มหาชน) หรือ LPH เปิดเผยว่า ขณะนี้มีความคืบหน้าแผนการซื้อกิจการ (M&A) โรงพยาบาลเอกชน 1 แห่ง ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเงื่อนไขและราคา จะใช้งบลงทุนไม่เกิน 800 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีการเซ็นสัญญา MOU และทำดิวดิลิเจนท์ได้เร็วๆ นี้ และกระบวนการซื้อขายจะแล้วเสร็จทันภายในช่วงสิ้นปีนี้
สำหรับผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะจำนวนผู้ป่วยทั่วไปและโควตาผู้ป่วยกลุ่มประกันสังคมที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้เพิ่มเติมจากการให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้แก่ภาคเอกชนในช่วงไตรมาส 3/64 เป็นต้นไป โดยเฉพาะการให้บริการกับองค์กรหรือบริษัทต่างๆ ที่ดำเนินสั่งซื้อวัคซีนซิโนฟาร์ม จากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ซึ่งจะมีการเริ่มกระจายวัคซีนให้โรงพยาบาลต่างๆ ที่รับบริการ
"ปัจจุบันบริษัทมีลูกค้ากลุ่มดังกล่าวแล้วจำนวนหลายพันคนจากหลากหลายบริษัท ซึ่งมีการคิดอัตราค่าบริการอยู่ที่ราว 100-120 บาทต่อราย รวมถึงจะมีการรับจ้างฉีดวัคซีนให้สำนักงานประกันสังคมสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 รวมถึงรายได้จากการรับจ้างฉีดวัคซีนและรถตรวจคัดกรองโควิด-19 นอกสถานที่สำหรับสถานประกอบการต่างๆ ที่สนใจรับบริการ" นายอังกูร กล่าว
ขณะที่การสั่งซื้อวัคซีนทางเลือก "โมเดอร์นา" ผ่านสมาคมโรงพยาบาลเอกชนและองค์การเภสัชกรรม คาดว่าจะสามารถนำเข้ามาได้ช่วงเดือน ต.ค.64 ซึ่งบริษัทได้สั่งจองไว้จำนวน 1 แสนโดส หรือคิดเป็นจำนวนการให้บริการฉีดได้ประมาณ 50,000 ราย อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้เปิดให้จองอย่างเป็นทางการ แต่เบื้องต้นองค์กรและบริษัทต่างๆ เช่น กลุ่มสถาบันการเงินที่แสดงความสนใจเข้ามาติดต่อเกือบเต็มจำนวนแล้ว
สำหรับช่วงเวลาการเปิดจองวัคซีนนั้นยังต้องรอขั้นตอนการสรุปราคาก่อน ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าสมาคมโรงพยาบาลเอกชนจะได้ข้อสรุปราคากลางการคิดค่าบริการภายในช่วงสิ้นเดือน มิ.ย.นี้
ส่วนการนำโรงแรมที่ไม่มีผู้พักอาศัยมาทำเป็นโรงพยาบาลชั่วคราวรับผู้ป่วยโควิด-19 (Hospitel) ล่าสุด มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เดินทางเข้ามารับการรักษาราว 260 ราย ซึ่งถือว่าเกือบเต็มปริมาณที่รองรับแล้ว จากเดิมที่กำหนดไว้ประมาณ 300 เตียง บริษัทจึงมีแผนที่ขออนุญาตขยายการให้บริการเพิ่มเติมอีกจำนวน 100 เตียง เพื่อรองรับจำนวนผู้ติดเชื้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง