xs
xsm
sm
md
lg

CGS คาด FED ผ่อนคลายนโยบายการเงิน แนะจับตาดอกเบี้ย-วงเงิน QE

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บล.คันทรี่กรุ๊ป แนะจับตาเส้นทางดอกเบี้ยในระยะถัดไป รวมไปถึงเกณฑ์กำหนดวงเงิน QE ในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ  วันที่ 15-16 มิ.ย.นี้ อาจส่งผลต่อภาพรวมการลงทุนหุ้นไทย

นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สัปดาห์นี้เชื่อว่าปัจจัยสำคัญที่ตลาดจะให้ความสำคัญคือการประชุม FED ในวันที่ 15-16 ทราบผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 17 ช่วงเช้าเวลาประเทศไทย สาเหตุที่การประชุมครั้งนี้สำคัญเนื่องจากเป็นการประชุมที่จะมีถ้อยแถลงการประชุม ตัวเลขเศรษฐกิจ เส้นทางดอกเบี้ยในระยะถัดไป รวมไปถึงวงเงิน QE

ทั้งนี้ คันทรี่กรุ๊ปยังเชื่อว่าการประชุมครั้งนี้ FED จะยังดำเนินมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไป (คงดอกเบี้ยและวงเงิน QE) เนื่องจาก 1.ภาคแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังไม่กลับสู่ระดับปกติ หากอิงตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ พบว่า ช่วงเกิด COVID-19 (มี.ค.-เม.ย.20) หายไปรวมกัน 22.3 ล้านตำแหน่ง แต่ปัจจุบันกลับมาเพียง 14.7 ล้านตำแหน่ง เท่ากับว่าสหรัฐฯ ยังต้องการการจ้างงานเพิ่มขึ้นอีก 7.6 ล้านตำแหน่งเพื่อให้กลับไปเท่าก่อนเกิด COVID-19 สอดคล้องกับอัตราการว่างงานปัจจุบันอยู่ที่ 5.8% เทียบก่อนเกิด COVID-19 ที่ 3.5% ขณะที่ปัจจัยที่ 2.เรื่องเงินเฟ้อสหรัฐฯ (CPI) ที่เร่งแรงในช่วง 2 เดือนก่อนหน้ามาจากราคาพลังงานเป็นหลักหากมองราคาน้ำมัน (WTI) เดือน พ.ค.19 อยู่ 20 $/BBL เทียบกับ พ.ค.20 ที่ 66 $/BBL (+230%YoY) ขณะที่หากพิจารณาสิ่งที่ตลาดมองจะพบว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ทำ New Low ในรอบ 3 เดือน พร้อมกับความคาดหวังเงินเฟ้อ 5 ปีจากนี้ที่กลับสู่แนวโน้มขาลง สะท้อนถึงการที่ตลาดมองว่าการเร่งของเงินเฟ้อเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราวและไม่น่าทำให้ FED ถึงกับต้องรีบใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวด

"หากผิดไปจากคาดกล่าวคือ FED ส่งสัญญาณถึงการใช้นโยบายเข้มงวดเชื่อผลกระทบต่อ SET ไม่สูงมากนักเนื่องจากปัจจัยปลีกย่อยได้แก่ 1.ย้อนหลัง 6 ปีนักลงทุนต่างชาติมีสถานะขายสุทธิสูงถึง 7.5 แสนล้านบาท นับเป็นระดับที่ต่ำสุดในประวัติการณ์ จึงเชื่อว่าปัจจุบันสถานะการถือครองหุ้นไทยของต่างชาติค่อนข้างต่ำแล้ว 2.ปัจจุบัน SET ถูกขับเคลื่อนจากนักลงทุนในประเทศมากกว่าสะท้อนจาก YTD สถานะซื้อสุทธิเป็นนักลงทุนรายย่อยราว 9.4 หมื่นล้านบาท 3.SET อยู่ในช่วงรับปัจจัยบวกจากการค่อยๆ กระจาย Vaccine และ 4.Valuation ไม่แพง หากอิงกำไรปี 22 เพื่อสะท้อนการฟื้นตัวใกล้เคียงระดับปกติ SET จะซื้อขายเพียง 17.2x อยู่ในช่วง AVG ถึง +1SD ในรอบ 5 ปีย้อนหลัง"

ส่วนปัจจัยในประเทศเชื่อว่าปัจจุบันตลาดกำลังมองไปยังข้างหน้าสู่การฟื้นตัวแบบปกติ สะท้อนจากราคาหุ้นหลายตัวรวมถึง SET กลับมาสูงก่อนเกิด COVID-19 แม้ในวันศุกร์ ศบค. จะรายงานปริมาณฉีด Vaccine เพียง 2.23 แสนโดสแต่ตลาดก็มิได้ตอบรับเชิงลบใดๆ

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนที่เราแนะนำคือเน้นกลุ่ม Domestic ที่ได้ประโยชน์จาก Vaccine แต่ราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นน้อยหรือยังไม่กลับไปเท่าก่อน COVID-19 ได้แก่ ADVANC, AWC, BTS ,BJC, CPALL, CRC, CPN, KBANK, LH, PLANB, VGI, WHA

PLANB (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 7.7 บาท) คาดรายได้สื่อของจะปรับตัวลดลงไปที่จุดต่ำสุดใน 2Q21 ก่อนจะมีการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งของปี 2021 หนุนจากการใช้จ่ายค่าโฆษณาของภาคเอกชนที่กลับมาอีกครั้งหลังการคลายล็อกดาวน์ และการเริ่มรับรู้รายได้จากป้ายสื่อโฆษณาที่ติดตั้งใหม่ในช่วงปลายปีที่แล้ว ทั้งในส่วนที่อยู่ใน 7-eleven และสื่อที่รอรถเมล์ใน กทม.

CPN (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 59 บาท) มองราคาหุ้นล่าสุดยังค่อนข้าง Laggard โดยมี Upside เทียบกับก่อนเกิด COVID-19 ราว 11% ขณะเดียวกัน แม้จะมีการแพร่ระบาดแต่บริษัทยังคงหาโอกาสเติบโตต่อเนื่องด้วยการประกาศเปิดศูนย์การค้าใหม่อีก 4 แห่งภายใน 5 ปีจากนี้


กำลังโหลดความคิดเห็น