xs
xsm
sm
md
lg

ตลาดส่งออกแนวโน้มสดใส หนุนผลงาน CBG ฟื้นยาวถึงปี 2565

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ตลาดส่งออกสดใส “คาราบาวกรุ๊ป” เริ่มฟื้นชัดเจนหลังผ่านจุดต่ำสุดไตรมาสแรก เหตุสถานการณ์การเมืองในพม่าเริ่มคลี่คลาย เช่นเดียวกับการระบาดของ COVID-19 ในกัมพูชา อีกทั้งประสบความสำเร็จการทำตลาดในจีน ขณะกำไรขั้นต้นเริ่มปรับตัวเพิ่มจากผลิตภัณฑ์ใหม่ และบริษัทลูก APM เริ่มเดินเครื่อง หนุนเติบโตยาวถึงปี 2565

บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG กำลังเป็นอีกหนึ่งหุ้นที่ได้รับการจับตาในช่วงนี้ ด้วยว่าราคาหุ้นของบริษัทอาจถึงรอบรีบาวนด์ หลังจากปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้านี้ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการเป็นหุ้นที่ได้เข้าคำนวณใน MSCI GLOBAL STANDARD INDEX รอบล่าสุด

เมื่อเร็วๆ นี้  “พงศานติ์ คล่องวัฒนกิจ” ประธานผู้บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG แจ้งผลงานไตรมาส 1/2564 บริษัทมีกำไร 700.21 ล้านบาท ลดลง 12.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไร 800.95 ล้านบาท อัตรากำไรอยู่ที่ 19.1% ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 19.7% 

การลดลงดังกล่าวเป็นผลมาจากรายได้จากการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศลดลง 16.2% โดยเฉพาะในกลุ่ม CLMV เนื่องจากมีปัจจัยเฉพาะตัวด้านการเมืองในพม่าในระยะแรก อีกทั้งยังมีการล็อกดาวน์ในหลายเมืองของประเทศกัมพูชาจากการระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้ปริมาณการขายเฉลี่ยต่อเดือนปรับตัวลดลง และส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลง

ทำให้รายได้จากการขายอยู่ที่ 4,030 ล้านบาท ลดลง 0.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากปริมาณคำสั่งซื้อที่ลดลงของการส่งออกเครื่องดื่มบำรุงกำลังไปยังตลาดต่างประเทศ ขณะที่ตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศเชิงปริมาณสำหรับไตรมาส 1/2564 หดตัว 5.6% จากไตรมาส 1/2563 แต่บริษัทยังคงรักษาส่วนแบ่งการตลาดเชิงปริมาณได้ที่ 21% คิดเป็นอันดับ 2 ของตลาด

ขณะที่ตลาดเครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริงก์เชิงปริมาณไตรมาส 1/64 หดตัว 7.8% จากไตรมาส 1/63 และส่วนแบ่งการตลาดเชิงปริมาณอยู่ที่ 9% เพิ่มขึ้นจาก 8.1% ในไตรมาส 4/63 คิดเป็นอันดับ 2 ของตลาด อย่างไรก็ดี บริษัทได้มีการเปิดตัววู้ดดี้ ซี+ล็อค Collagen Mixed Burry เมื่อวันที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา โดยบริษัทคาดว่าจะช่วยดึงกลุ่มฐานลูกค้าใหม่เข้ามามากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มคนรักสวยรักงามและกลุ่มรักสุขภาพ

นอกจากนี้ บริษัท เอเชีย แพ็คเกจจิ้ง แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด หรือ APM ซึ่งเป็นบริษัทย่อยประกอบธุรกิจผลิตฟิล์ม กล่องกระดาษและฉลากได้ติดตั้งเครื่องจักรเสร็จเรียบร้อยเมื่อเดือนมีนาคม 2564 และจะทดลองเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ภายในไตรมาส 2 ปีนี้

จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายคาดว่า แม้ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศและตลาด CLMV หดตัวในไตรมาส 1/2564 แต่รายได้จากการขายของ CBG สามารถทรงตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน จากวู้ดดี้ ซี+ล็อค ที่เปิดตัวในกลางมีนาคมปีที่แล้วช่วยชดเชย แต่อัตรากำไรขั้นต้นที่อ่อนแอลงเหลือ 38.6% ในไตรมาส 1/64 เมื่อเทียบกับ 42.4% ในไตรมาส 1/63 และสมมติฐานที่ 41.0%

อย่างไรก็ตาม คาดว่าแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/64 จะกลับมาเป็นบวก โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของตลาด CLMV โดยเฉพาะความต้องการในพม่าที่ฟื้นตัวหลังจากสถานการณ์ COVID-19 ดีขึ้น และหลังการปฏิวัติ 3 เดือน และความต้องการในกัมพูชาจะฟื้นตัวหลังการผ่อนคลายข้อบังคับในพฤษภาคม
 
ขณะเดียวกันเชื่อว่า บริษัทยังได้รับแรงเสริมจากผลิตภัณฑ์ใหม่ วู้ดดี้ ซี+ล็อค Collagen Mixed Burry ซึ่งจะจับตลาดในกลุ่มสุขภาพและความงาม และ Asia Packaging Manufacturing (APM) จะเริ่มดำเนินงานในไตรมาส 2/64 และหนุนกำไรขั้นต้นซึ่งจะทำให้ราคาหุ้น CBG มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นจากอัปไซด์ที่มีอยู่ประมาณ 24% จากราคาเหมาะสม 140 บาทต่อหุ้น

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด ประเมินถึงทิศทางธุรกิจ CBG ว่า บริษัทรายงานกำไรหลักไตรมาส 1/64 อยู่ที่ 700 ล้านบาท ลดลง 13% เทียบปีก่อน และ 20% จากไตรมาสก่อน ซึ่งต่ำกว่าที่คาด 7% เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่าคาด (อยู่ที่ 38.6% เทียบกับที่คาดไว้ 40.8%) และต่ำกว่าที่ตลาดคาด 10% เนื่องจากอัตรากำไรที่ต่ำกว่าคาด ทำให้ผลประกอบการไตรมาส 1/64 ที่อ่อนตัวส่งผลกดดันต่อราคาหุ้นในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าราคาหุ้นที่น่าเข้าซื้อยังมั่นใจอยู่ในช่วง 106-114 บาท เนื่องจากมูลค่าที่น่าสนใจด้วยแรงหนุนจาก P/E ที่แข็งแกร่งที่ 26-28 เท่า

ส่วน บล.ทิสโก้ จำกัด ประเมินแนวโน้ม CBG ว่าแนวโน้มส่งออกเริ่มดีขึ้น แต่ยังได้ผลกระทบจากมาร์จิ้นที่ลดลงจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และบริษัทคาดว่าผลกระทบด้านการส่งออกของบริษัทได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 1/64 ทั้งประเทศกัมพูชาและพม่าจากสถานการณ์ยอดขายที่ดีขึ้นในกัมพูชาจาก COVID-19 เริ่มผ่อนคลายและพม่ามีการประท้วงเพียงบางพื้นที่

ไม่เพียงเท่านี้บริษัทตั้งเป้าหมายประเทศจีนเติบโต 300% หรือ 1,400 ล้านบาท จากการเพิ่มตัวแทนจำหน่ายทำการตลาดและขยายพื้นที่ต่อเนื่อง สำหรับยอดขายในประเทศมีแผนออกสินค้าใหม่ในกลุ่มเครื่องดื่มพลังงาน และคาดยอด functional drink ส่วน woody C+Lock เติบโตได้ 100% หลังจากออกสินค้าใหม่ Woody C+Lock คอลลาเจน มิกซ์เบอรี่ ได้รับการตอบรับดี

ส่วนต้นทุนคาดไตรมาส 2/64 ได้ผลกระทบจากอะลูมิเนียมกระป๋องที่เพิ่มขึ้น จนอาจกระทบมาร์จิ้นลดลง และในส่วนกลุ่มเครื่องดื่มส่งออก และแผนการผลิต packaging เองในส่วนฉลากและกล่องมีการเลื่อนไปในช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ บริษัทมีแผนปรับสูตรใหม่ลดน้ำตาลซึ่งคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนและช่วยลดภาษีความหวานได้ในครึ่งปีหลังหากแผนเป็นไปตามที่วางไว้

ดังนั้น โดยรวมไตรมาส 2/64 แนวโน้มกำไรสุทธิอาจลดลงเล็กน้อยหรือใกล้เคียงเทียบปีก่อน แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบไตรมาสก่อน จากกัมพูชาและพม่าเริ่มดีขึ้นและยอดขายที่จีนเพิ่มขึ้นจากช่วงหน้าร้อนและการทำการตลาด จึงปรับประมาณการกำไรสุทธิปีนี้ และปีหน้าเพิ่มขึ้นคาดเดิม 5% และ 12% เป็น 3,533 ล้านบาท และ 4,403 ล้านบาท โดยมีราคาเหมาะสมอยู่ที่ 136 บาทต่อหุ้น ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนในปีหน้าจากการทำตลาดเพิ่มขึ้นในเวียดนาม และจีน

บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์แนะนำ "ทยอยซื้อ" หุ้น บมจ.คาราบาวกรุ๊ป (CBG) โดยให้ราคาเป้าหมายปี 65 ที่ 135 บาทต่อหุ้น จากแนวโน้มไตรมาส 2/64 แม้คาดย่อตัวเทียบปีต่อปีจากฐานสูง บวกกับต้นทุนอะลูมิเนียมเพิ่มขึ้น แต่ฟื้นตัวดีขึ้นเทียบไตรมาสต่อไตรมาส ตามยอดขาย CLMV ที่เพิ่มขึ้น จีนฟื้นตัวแรงตามการบริโภคในประเทศที่ดีขึ้น อีกทั้งเป็น High Season และซื้อหุ้น บ.ACM เพิ่มเป็น 100% ตั้งแต่ มี.ค.64 ทำให้รับรู้กำไรมากขึ้น แต่อย่างไรตามไตรมาส 1/64 ต่ำคาดมาก

ทั้งนี้ กำลังซื้อประเทศพม่าค่อยกลับมาดีขึ้นหลังผ่านช่วงรัฐประหาร 3 เดือน บวกกับการเร่งสั่งซื้อก่อนห้ามนำเข้าสินค้าผ่านทางบก (เริ่ม 1 พ.ค.64) ซึ่งต้องใช้เรือแทนทำให้ขนส่งนานขึ้นแต่ไม่กระทบต้นทุนเนื่องจากลูกค้ารับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง ขณะที่กัมพูชาผ่อนคลาย Lockdown มากขึ้นตั้งแต่ต้น พ.ค. เป็นต้นมา แม้ในประเทศต้องเผชิญกับการระบาดใหม่แต่ยังเติบโตดีจากเครื่องดื่ม Woody C+ Lock ทั้ง 2 รสชาติ อีกทั้งออกรสชาติใหม่ผสมคอลลาเจนช่วยขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ

ด้าน บล.เคทีบีเอสที แนะนำ “ซื้อ” และคงราคาเป้าหมายที่ 138.00 บาท (อิง PER 38x เทียบเท่า 5-yr avg PER) โดยมีมุมมองเป็นบวกจากผู้บริหารคงเป้ารายได้รวมปี 2564 เพิ่มขึ้น 15% เทียบปีก่อน (Domestic เพิ่มขึ้น 15% Export เพิ่มขึ้น 15% เทียบปีก่อน ) โดยรายได้ CLMV ขยายตัว high single digit จีน เพิ่มขึ้น 263% เทียบปีก่อน ทำให้คาดผลประกอบการเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 2/64 หนุน โดยรายได้ domestic branded own ที่ขยายตัวจากฤดูร้อน และรายได้ต่างประเทศที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะจีนที่เข้าสู่ high season พม่า และกัมพูชาที่ฟื้นตัว

นอกจากนี้ CBG อยู่ระหว่างศึกษาการปรับสูตรลดน้ำตาล ซึ่งมีโอกาสปรับสูตรได้เร็วสุดในครึ่งปีหลัง หากปรับสูตรลดน้ำตาลเหลือ 0-6 g/100 ml จะมี cost saving ที่ 320 ล้านบาทต่อปี จาก excise tax และต้นทุนน้ำตาลที่ลดลง

ทำให้คงประมาณการกำไรสุทธิปีนี้ที่ 3,637 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เทียบปีก่อนและปี 2565 ที่ 4,623 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 27% เทียบปีก่อน จากรายได้ที่ขยายตัวในทุกธุรกิจ และ GPM ขยายตัวจากต้นทุน packaging ที่ลดลง และ utilization rate ที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเชื่อมั่นว่ากำไตรมาสแรกที่ผ่านมา เป็นจุดต่ำสุดของปี และจะฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป

“เรายังคงแนะนำ ซื้อ เพราะมองว่ากำไรจะกลับมาฟื้นตัวแบบ V-shape ในปี 2565 จากปัจจัยพื้นฐานที่ยังดีต่อเนื่อง อีกทั้ง CBG ยังมี upside จากการปรับสูตรเครื่องดื่มชูกำลังเพื่อลดน้ำตาล และรายได้จากผลิตภัณฑ์ผสมกัญชง โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในครึ่งปีหลัง และปัจจุบัน CBG เทรดอยู่ที่ P/E 35.2 เท่า”

ด้าน บล.เอเชีย เวลท์ แนะนำ "TRADING" โดยคาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2/64 ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้า จากคำสั่งซื้อในพม่าที่เพิ่มขึ้น หลังเริ่มเห็นสัญญาณดีมานด์ที่เพิ่มมากขึ้น แม้การห้ามนำเข้าสินค้าเครื่องดื่มผ่านทางบกในพม่าเริ่มวันที่ 1 พ.ค.64 (ในที่นี้รวมถึงเครื่องดื่มชูกำลัง) ส่งผลให้ระยะเวลาขนส่งเพิ่มขึ้นเป็น 2 สัปดาห์ (เดิมไม่เกิน 1 สัปดาห์) แต่เป็นปัจจัยเร่งคำสั่งซื้อในเดือน เม.ย.64 รวมถึงกัมพูชาที่คาดว่าคำสั่งซื้อจะกลับมาดีขึ้น หลังมีการผ่อนคลายล็อกดาวน์ในช่วงต้นเดือน พ.ค.64 นอกจากนี้ บริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่วู๊ดดี้ ซี+ล็อค คอลลาเจน มิกซ์เบอร์รี่ เมื่อวันที่ 19 เม.ย.64 ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มคนรักสุขภาพและความสวยงาม

ทำให้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-2565 ลง 17% และ 15% จากเดิมกำไรสุทธิไตรมาสแรกปี 64 คิดเป็น 16% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 สะท้อนปัจจัยลบจากการได้รับผลกระทบจากการรัฐประหารในพม่าและการล็อกดาวน์ในกัมพูชา ส่งผลให้ยอดขายลดลง ทำให้ปรับประมาณการรายได้รวมปี 2564-2565 ลง 10% และ 13% เป็น 18,643 ล้านบาท และ 20,311 ล้านบาท และปรับอัตรากำไรขั้นต้นเป็น 39.5% และ 41.2% (เดิม 42% และ 42.3%) ตามลำดับ จากต้นทุนที่สูงขึ้น ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-2565 ลง 17% และ 15% เป็น 3,651 ล้านบาท และ 4,205 ล้านบาท

โดย ปี 2564 CBG ตั้งเป้าเติบโตจากจีนเป็นหลัก คาดว่าเติบโตต่อเนื่องทั้งปี รวมถึงยอดขายไตรมาสแรกในพม่าและกัมพูชาคาดว่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปี และจะฟื้นตัวในไตรมาสถัดไป ขณะที่ยอดขายในประเทศคาดว่าจะเติบโตได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่ แนะนำ “เก็งกำไร” ให้ราคาเป้าหมายใหม่ 132.00 บาท (เดิม 150.00 บาท) อิง P/E ที่ 36 เท่า




กำลังโหลดความคิดเห็น