KBank Private Banking (เคแบงก์ ไพรเวทแบงกิ้ง) ร่วมกับ บลจ.กสิกรไทย เปิดตัวกองทุน K-SUSTAIN-UI (K Sustainable Long-Short Fund Not for Retail Investors) ที่เน้นลงทุนในหุ้นที่สร้างกำไร ทั้งจากหุ้นที่ได้รับประโยชน์และเสียประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นไปสู่ความยั่งยืน โดยเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) สำหรับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ 24-28 พฤษภาคม 2564 นี้
น.ส.ศิริพร สุวรรณการ Managing Director - Financial Advisory Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า กองทุนใหม่ K-SUSTAIN-UI เป็นกองทุนยั่งยืนกองแรกของไทยที่ใช้ LONG - SHORT Strategy เน้นลงทุนสร้างกำไร ทั้งจากหุ้นที่ได้รับประโยชน์และเสียประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นไปสู่ความยั่งยืน โดย K-SUSTAIN-UI จะทำการลงทุนผ่านกองทุนหลัก JPMorgan Funds - Multi-Manager Sustainable Long-Short Fund, Class JPM S2 (perf) (acc) - USD ในอัตราส่วนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ซึ่งกองทุนหลักมีนโยบายลงทุนใน 5 กลุ่มธุรกิจเมกะเทรนด์ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงและสร้างความเติบโตโดยไม่ทิ้งความเสียหายไว้กับโลก (Sustainability Megatrend) ได้แก่ 1.การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) 2.การดูแลสุขภาพ (Health and Wellness) 3.โอกาสในการเข้าถึงการศึกษาหรือบริการทางการเงินอย่างเท่าเทียม (Empowerment) 4.การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ (Resource Efficiency) 5.เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (Technology for Sustainability) โดยกลุ่มธุรกิจที่สามารถปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้จะได้รับประโยชน์จากกำไร และการเติบโตที่มากขึ้น จะกลายเป็นผู้ชนะ ในขณะที่บริษัทที่ไม่สามารถปรับตัวได้จะเผชิญกับความเสี่ยงกับการถดถอย และกำไรที่ลดลงของบริษัท แล้วกลายเป็นผู้แพ้ได้ในที่สุด
ทั้งนี้ JP Morgan Asset Management ผู้บริหารกองทุนหลักมีประสบการณ์กว่า 25 ปี ทั้งในการซื้อหุ้น (Long) ที่มีโอกาสเติบโตมาถือไว้เพื่อกำไรในอนาคต และการขายหุ้น (Short) ที่มีแนวโน้มราคาลดลง หรือที่เรียกว่าLong - Short Strategy ทำให้กองทุน K-SUSTAIN-UI มีความพิเศษกว่ากองทุนยั่งยืนอื่นๆ ในตลาดประเทศไทย เพราะไม่เพียงเข้าซื้อหุ้นอย่างเดียว แต่จะซื้อหุ้น (Long) ที่คาดหวังว่าจะสร้างผลดำเนินงานได้ดี จากการปรับตัวไปสู่ความยั่งยืนในอนาคต ซึ่งราคา ณ ปัจจุบันยังไม่ได้สะท้อนถึงความเติบโต และ จะขายหุ้น (Short) ที่ราคาแพงเกินไปในปัจจุบัน หรือหุ้นที่อาจจะเสียโอกาสจากการไม่ยอมปรับตัว หรือไม่มีความสามารถในการปรับตัวไปสู่ความยั่งยืนเพื่อลดความเสี่ยงในช่วงตลาดขาลง ด้วยกลยุทธ์นี้ ทำให้สามารถสร้างโอกาสและผลตอบแทนจากทั้งหุ้นที่จะเป็นผู้ชนะและผู้แพ้ ยิ่งไปกว่านั้นยังช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนอีกด้วย
นอกจากนี้ ด้วยประสบการณ์ของ JP Morgan Asset Management ที่สามารถเฟ้นหาผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม มาเป็นผู้จัดการกองทุนย่อย หรือ Sub-Advisor ทั้งหมด 7 กอง 1.ตลาดเกิดใหม่ 2.ตลาดจีน 3.ตลาดยุโรป 4.กลุ่มสุขภาพ 5.กลุ่มสาธารณูปโภค 6.กลุ่มผู้บริโภค เทคโนโลยี สื่อ และโทรคมนาคม และ 7.การมีส่วนร่วมการเปลี่ยนแปลงบริษัทผ่านการถือหุ้น ซึ่งผู้จัดการกองทุนเหล่านี้จะมาช่วยบริหารการลงทุนภายใต้ 5 ธีมความยั่งยืนที่กล่าวข้างต้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้กลยุทธ์ Long - Short สามารถสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวกในทุกวัฏจักร จัดการผ่านช่วงเวลาที่หุ้นมีความผันผวนได้ดี และสามารถทำกำไรจากการชอร์ตหุ้นได้
"จุดเด่นหลักของกองทุนคือกลยุทธ์ Long - Short ซึ่งเราการซื้อหุ้นใน 5 ธีมที่คาดว่าจะมีผลประกอบการที่ดีและราคายังไม่แพงไว้เพื่อทำกำไรในระยะยาว ขณะที่ Short จะเป็นการซื้อหุ้นที่ราคาสูงเกินปัจจัยพื้นฐานไว้ในตลาดล่วงหน้าและกลับไปซื้อคืนเมื่อราตาลดลงในอนาคตเพื่อส่งมอบ ซึ่งจะเป็นจุดที่กำไรได้ และในช่วงที่ตลาดหุ้นโลกขึ้นไปมากๆ ก็เป็นโอกาสที่จะหาหุ้นเพื่อทำกลยุทธ์ Short ได้มากเช่นกัน ซึ่งเป็นอีกเหตุผลที่เราเลือกไปลงทุนในตลาดทั่วโลกที่มีโอกาสให้เลือกมากกว่าการลงทุนในเฉพาะหุ้นไทย และจุดหลักคือเราต้องหาให้เจอ และอีกจุดเด่นคือการที่เรามีผู้แลกองทุนมากกว่า 1 ราย โดยผู้ดูแลหลักคือ JP Morgan ที่จะหาซับ แอดไวเซอร์มาอีก 7-10 ราย ที่มีความชำนาญในแต่ละด้าน ทำให้กองทุนมีโอกาสในการให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น"
ทั้งนี้ ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนหลัก JPMorgan Funds - Multi-Manager Sustainable Long-Short Fund, Class JPM S2 (perf) (acc) - USD เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ให้ผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุน 15.53% (ข้อมูล ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2564) และด้วยกลยุทธ์ Long-Short และความสามารถของ Sub-Advisor ในปี 2563 ในช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ดัชนีตลาดหุ้นโลก (MSCI World) ปรับลงไปกว่า 21% แต่กองทุนหลักปรับลงเพียง 9.44% เท่านั้น โดย KBank Private Banking แนะนำให้ลงทุนในระยะยาว เพราะยิ่งลงทุนระยะยาว และลงทุนผสมจะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตได้ เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น และ ช่วยโลกยั่งยืนได้อีกด้วย
"KBank Private Banking เชื่อว่าเทรนด์ลงทุนด้านความยั่งยืนเป็นโอกาสสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว จากหลักการธนาคารแห่งความยั่งยืนของธนาคารกสิกรไทย ที่เน้นเสริมสร้างความสมดุลทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ล้วนมีส่วนสำคัญในการผลักดันแนวคิดการลงทุนในธีมธุรกิจเพื่อความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างยั่งยืน ในขณะที่ทุกเม็ดเงินที่ลงทุนยังสนับสนุนธุรกิจที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้แก่โลกอย่างแท้จริง ในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมา ธนาคารได้แนะนำกองทุนภายใต้ธีมความยั่งยืนแก่ลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น K-HIT K-CHANGE และ K-CLIMATE ซึ่งเป็นแสดงให้เห็นว่าการลงทุนอย่างยั่งยืน ไม่ได้จำกัดเฉพาะเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ บริการทางการเงิน และโอกาสทางการศึกษา เพื่อช่วยยกระดับสังคม และความเป็นอยู่ของคนในสังคมให้เท่าเทียมกันด้วย"