xs
xsm
sm
md
lg

กสิกรไทยปันผลฝ่าโควิด 8กองทุนFIFจ่ายกว่า 300 ล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย จ่ายปันผลกองทุนต่างประเทศ ณ รอบผลการดำเนินงานจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2564 จำนวน 8 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเค โกลบอล อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต ออพพอร์ทูนนิตี้ (K-GEMO) ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย กองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุน-A ชนิดจ่ายเงินปันผล (K-USA-A(D)) ในอัตรา 0.50 บาทต่อหน่วย กองทุนเปิดเค ยูโรเปียน หุ้นทุน (K-EUROPE) ในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย กองทุนเปิดเค ยูโรเปียน ซิลเวอร์เอจ หุ้นทุน (K-EUSAGE) ในอัตรา 0.50 บาทต่อหน่วย กองทุนเปิดเค เอเชียน สมอลเลอร์ หุ้นทุน (K-ASIA) ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย กองทุนเปิดเค โกลบอล เฮลท์แคร์ หุ้นทุน (K-GHEALTH) ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย กองทุนเปิดเค โกลบอล เฮลท์แคร์ หุ้นทุน Unhedged (K-GHEALTH(UH)) ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย และกองทุนเปิดเค อินเดีย หุ้นทุน (K-INDIA) ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย โดยทั้งหมดมีกำหนดจ่ายปันผลพร้อมกันในวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 รวมมูลค่าทั้งสิ้น 371.79 ล้านบาท

นายนาวินกล่าวต่อไปว่า กองทุนที่จ่ายปันผลในรอบนี้มีกองทุนที่ได้รับการจัดอันดับ Morningstar ในประเภท Overall Rating อยู่ทั้งหมด 5 กองทุน ได้แก่ กองทุน K-USA-A(D), K-EUROPE และ K-GHEALTH ได้รับการจัดอันดับ 5 ดาว ส่วนกองทุน K-GEMO และ K-GHEALTH(UH) ได้รับการจัดอันดับ 4 ดาว ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถพิจารณาผลการจัดอันดับเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนได้ อย่างไรก็ดี บลจ.กสิกรไทย มุ่งมั่นที่จะรักษามาตรฐานการบริหารกองทุน เพื่อสร้างผลการดำเนินให้ดีอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งคำนึงถึงการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมภายใต้ความผันผวนของตลาดด้วยเช่นกัน

ภาพรวมตลาดหุ้นโลกยังไปต่อได้ โดยมีปัจจัยสนุนจากการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ประกาศออกมาของฝั่งสหรัฐฯและยุโรปส่วนใหญ่ดีกว่าที่คาดไว้ เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากความคืบหน้าการฉีดวัคซีน รวมถึงนโยบายที่ยังผ่อนคลายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ อย่างไรก็ดี บลจ.กสิกรไทย ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นประเทศเกิดใหม่ โดยเฉพาะเอเชีย จากอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรมที่พัฒนาต่อเนื่อง และอุปสงค์ภายในที่เติบโตดี ขณะที่การค้าโลกที่ฟื้นตัวจะช่วยหนุนหุ้นกลุ่มส่งออกด้วย รวมถึงหุ้นกลุ่มสุขภาพทั่วโลก โดยปัจจุบันยังซื้อขายในระดับราคาที่ถูก โดยนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ก้าวกระโดด สังคมผู้สูงอายุ การเข้าถึงประเทศเกิดใหม่มากขึ้น (EM Penetration) และการควบรวมกิจการ (M&A) จะช่วยหนุนหุ้นกลุ่มนี้ให้เติบโตได้ในระยะยาว ส่วนหุ้นอินเดีย แม้ยังน่าสนใจเนื่องจาก ราคาหุ้นปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศเกิดใหม่ จากที่เคยซื้อขายแพง แต่ยังต้องจับตาสถานการณ์ระบาดโควิด-19 อย่างใกล้ชิดอยู่ อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนควรจับตาช่วงครึ่งปีหลังในประเด็นอัตราเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดการณ์ การจัดการต่อสถานการณ์โควิด-19 ภายใต้การฉีดวัคซีนที่ดำเนินไปในวงกว้างหลายประเทศทั่วโลก” นายนาวินกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น