xs
xsm
sm
md
lg

กสิกรฯ คาดค่าบาทสิ้นปีที่ 29.75 ลุ้นกระจายวัคซีนตามแผน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) (KBANK) กล่าวว่า ธนาคารได้คาดการณ์เงินบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายนนี้อยู่ที่ระดับ 31.10 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และสิ้นปีจะอยู่ที่ระดับ 29.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยเงินบาทในช่วงนี้จะอ่อนค่าลงจากปัจจัยชั่วคราวที่เป็นช่วงของการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนให้ผู้ถือหุ้นในต่างประเทศ และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ลดลงหลังจากภาคการท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่หยุดชะงักลง แต่คาดว่าในระยะถัดไป หากมีการกระจายวัคซีนได้ตามกำหนด รวมถึงการส่งออกที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นก็จะเป็นปัจจัยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น

ด้านอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นและทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับนโยบายการเงินนั้น มองว่ายังคงเร็วเกินไปที่เฟด หรือธนาคารของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักอย่าง ธนาคารกลางกลุ่มอียู (ECB) ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะมีการปรับนโยบาย ไม่ว่าจะเป็นการลดการทำ QE หรืออื่นๆ เนื่องจากเฟดประเมินอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเป็นสถานการณ์ชั่วคราวจากราคาน้ำมันที่สูง และจากการเทียบจากฐานที่ต่ำในปีก่อน รวมถึงจำนวนระยะเวลาการว่างงานของแรงงานยังอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนระบาดของโควิด-19 เฟดจึงน่าจะคงดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไปก่อน

นายกอบสิทธิ์ กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันเราจะเห็นได้ชัดว่าอัตราการฉีดวัคซีนที่มีความเหลื่อมล้ำมีผลต่อพลวัตทางเศรษฐกิจ อย่างกลุ่มประเทศที่มีการฉีดวัคซีนในระดับที่สูงจนมียอดผู้ติดเชื้อลดลงมาหรือสร้างภูมิตุ้มกันหมู่แล้ว เช่น จีน สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร กลุ่มประเทศในยุโรป จะเริ่มเห็นเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้น ขณะที่ในกลุ่มประเทศเกิดใหม่รวมถึงไทยก็ยังต้องเผชิญกับการระบาดระลอก 2 หรือ 3 ถ้ายิ่งมีความล่าช้าอาจจะต้องเผชิญกับการระบาดระลอกต่อๆ ไปอีก แม้จะมีมาตรการของภาครัฐออกมาช่วยพยุงแต่ก็เป็นเพียงส่วนประกอบ ปัจจัยหลักก็จะขึ้นอยู่กับการกระจายวัคซีนโดยเฉพาะในประเทศที่มีแรงงานประมาณ 21% อยู่ในธุรกิจท่องเที่ยวอย่างประเทศไทย

"แต่ถ้าการกระจายวัคซีนไม่เป็นไปตามนโยบายที่ภาครัฐวางไว้จะส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างแน่นอน สะท้อนได้จากตัวเลขที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินไว้ว่า หากสิ้นปีนี้สามารถฉีดวัคซีนได้ 100 ล้านโดส หรือมีประชากรได้ฉีดวัคซีนแล้ว 50 ล้านคน จีดีพีปีนี้จะโต 2% และปีหน้าที่ 4.7% แต่ถ้าฉีดได้ 64 ล้านโดส จีดีพีปีนี้จะโตได้ 1.5% และปีหน้าที่ 2.8% และหากฉีดวัคซีนได้ต่ำกว่า 64 ล้านโดส จีดีพีจะโตได้ 1-1.1% ดังนั้น ปัจจัยที่ต้องติดตามจะอยู่ที่การกระจายของวัคซีนเป็นหลัก"

สำหรับการปรับตัวลงของตลาดคริปโต เคอร์เรนซีนั้น นายกอบสิทธิ์ กล่าวว่า ถือว่าเป็นที่สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงของตลาดนี้ที่อยู่ในระดับสูง ดังนั้น นักลงทุนจะต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนทั้ง 2 ด้านคือ กำไรจากการลงทุน และความเสี่ยงที่มีอยู่ เพราะหากมองด้านกำไรเพียงอย่างเดียวจะทำให้เกิดความเสียหายได้ ขณะเดียวกัน ฝั่งผู้กำกับดูแลอาจจะต้องมีการพิจารณาในหลักเกณฑ์ต่างๆ มากขึ้น รวมถึงการให้องค์ความรู้มากขึ้นกับผู้ที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดนี้ เพราะหากตลาดขยายไปในวงกว้างมากขึ้นอาจทำให้ความมั่งคั่งของนักลงทุนหายไป


กำลังโหลดความคิดเห็น