xs
xsm
sm
md
lg

TIDLOR ประเดิมเทรดวันแรก กูรูชี้เป้าไกล 49.40 บาท

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"เงินติดล้อ (TIDLOR)" ลงสนามเทรดวันแรก (10 พ.ค.) ผู้บริหารวางเป้ารายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 15-20% หวังรุกหนักธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ-นายหน้าประกันวินาศภัย ขยายสาขาเพิ่มอีก 500 แห่ง ขณะที่โบรกเกอร์ เชื่อกระแสตอบรับดี พื้นฐานแกร่ง แนวโน้มกำไรเติบโตสูง ให้ราคาเป้าหมาย 36.40-49.40 บาท ล่าสุดกำไรปี 63 อยู่ที่ 2.41 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.7% หลังรายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นตามพอร์ตเงินให้สินเชื่อ

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ รับหลักทรัพย์ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “TIDLOR” ในวันที่ 10 พ.ค.นี้

ตั้งเป้ารายได้โตปีละ 15-20% ขยายสาขาเพิ่ม 500 สาขา

นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ TIDLOR เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 15-20% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า จากปีก่อนที่มีรายได้ 10,558.9 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ 92% รายได้จากธุรกิจนายหน้าขายประกันวินาศภัย 8% โดยมีแผนขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการขยายสาขาเพิ่มอีก 500 สาขาในช่วง 2-3 ปี หลังจากเข้าตลาด จากปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 1,500 สาขา และ การขยายสินเชื่อควบคู่ไปกับการบริการผ่านช่องทางออนไลน์ นอกจากนี้ จะมีรายได้เสริมจากธุรกิจนายหน้าขายประกันวินาศภัย เป็นอีกปัจจัยผลักดันการเติบโตของรายได้

ทั้งนี้ บริษัทมีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ 1.BAY ถือหุ้น 30.00% 2.SACA ถือหุ้น 25.00% และ 3.UBS SECURITIES PTE LTD. ถือหุ้น 8.11% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO มาจากวิธีการสำรวจปริมาณความต้องการซื้อหุ้นสามัญของผู้ลงทุนสถาบันในแต่ละระดับราคา (Book building) คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio : P/E Raito) ที่ 35.03 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง (ตั้งแต่ 1 ม.ค.63-31 ธ.ค.63) หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายครั้งนี้ (Fully Diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 1.04 บาท/หุ้น

ปี 63 มีกำไร ที่ 2.41 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.7%

ล่าสุด วันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา TIDLOR รายงานผลดำเนินงานปี 63 มีกำไรสุทธิ 2,416.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,201.73 ล้านบาท จากรายได้ดอกเบี้ยรับ เงินให้กู้ยืมปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับพอร์ตสินเชื่อเงินให้กู้ยืมที่ปรับตัวเพิ่มมากขึ้น

โดยบริษัทมีรายได้รวม 10,558.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยรายได้ดอกเบี้ยรับจากลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อจำนวน 1,204.8 ล้านบาท ลดลง 27.6% ขณะที่มีรายได้ดอกเบี้ยรับจากเงินให้กู้ยืม 7,530.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.1%

บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 5,772 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.7% สาเหตุหลักมาจากค่าโฆษณาและการส่งเสริมการขายเพิ่มขึ้น มีผลขาดทุนจากการตัดรายการสินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจำหน่าย และหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ 583 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อหลังวิกฤตโควิด-19 คลี่คลาย มีต้นทุนทางการเงิน 1,178 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.1%

ในปี 63 บริษัทมีเงินให้กู้ยืมและลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อที่ 48,568 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.3%

โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศรับหลักทรัพย์ TIDLOR เข้าซื้อขายใน SET ในกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน หมวดธุรกิจ เงินทุนและหลักทรัพย์ มีจำนวนหุ้นที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 907.428 ล้านหุ้น และหุ้นสำหรับการจัดสรรส่วนเกิน (กรีนชู) อีก 136.114 ล้านหุ้น ในราคาเสนอขายที่ 36.50 บาท

โบรกฯ ให้ราคาเป้าหมาย ที่ 36.4-49.4 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสิน มองว่า ภาพรวมธุรกิจ TIDLOR ค่อนข้างน่าสนใจ จากการเติบโตของสินเชื่อรวม และค่าธรรมเนียมการขายประกัน นอกจากนี้ ยังมีคุณภาพสินทรัพย์อยู่ในเกณฑ์ดีมาก โดย NPL Ratio อยูาในระดับต่ำ และ Coverage Ratio อยู่ระดับสูง สำหรับราคาเป้าหมายให้ไว้ที่ 36.4-49.4 บาท
 
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบีเคย์เฮียน ให้คำแนะนำซื้อและราคาเป้าหมายที่ 43.00 บาท โดยเชื่อว่าแนวโน้มผลประกอบการของ TIDLOR ที่ 23% CAGR สำหรับปี 64-66 นั้นเหนือกว่าคู่แข่ง 16.7% หนึ่งในตัวขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญคือการเติบโตอย่างรวดเร็วใน non-II ซึ่งคาดว่าจะเติบโตที่ 33% CAGR ในช่วงปี 64-66 นอกจากนี้ การเสนอขายหุ้น IPO ของ TIDLOR ยังสร้างสถิติสูงสุดใน SET ซึ่งอาจผลักดันให้ราคาหุ้นของ TIDLOR สูงกว่าราคาเป้าหมายในระยะสั้น

ขณะที่บริษัทลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส มองว่า แนวโน้มกำไรสุทธิปี 64 จะเติบโต 26% และปี 65 ที่ 28% สูงกว่าคู่แข่ง จากแนวโน้มสินเชื่อสุทธิปี 64-65 จะเติบโตเฉลี่ย 17% สอดคล้องกับฐานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นหลง IPO และรายได้ค่านายหน้าประกันภัยเติบโตโดดเด่น ถือเป็นหุ้นที่มีโอกาสเติบโตได้ดีในระยะยาว รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และการขยายสาขาต่อเนื่องอีก 500 สาขาในปี 64-66 รวมถึงแนวโน้มรายได้ค่านายหน้าจากการขายประกันเติบโตต่อเนื่อง
 
ด้านราคา บริษัทให้ราคาเป้าหมายปี 64 เท่ากับ 44 บาท โดยฝ่ายวิจัยประเมินว่า TIDLOR มีศักยภาพในการเติบโตสูงในระยะยา หลังจากเข้าระดมทุน IPO แล้ว จากการขยายสาขาต่อเนื่อง หนุนสินเชื่อเติบโตได้ในระยะยาว

TIDLOR เป็นบริษัทในกลุ่มธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ที่ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับดูแลโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ประเภทสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นหลักประกัน (สินเชื่อจำนำทะเบียน) ภายใต้ชื่อ “เงินติดล้อ”

นอกจากนี้ TIDLOR มีธุรกิจนายหน้าประกันภัยที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด เป็น 1 ใน 3 อันดับแรกของธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยที่จำหน่ายแก่ลูกค้ารายย่อย ด้วยผลิตภัณฑ์สินเชื่อจำนำทะเบียนที่หลากหลาย ครบวงจร และช่องทางการขายและบริการที่ครอบคลุมทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ณ ธ.ค.2563 มี 1,076 สาขา ครอบคลุม 74 จังหวัดทั่วประเทศ โดย TIDLOR มีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคาไอพีโอ 84,642.94 ล้านบาท


กำลังโหลดความคิดเห็น