xs
xsm
sm
md
lg

"เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล" ยื่นไฟลิ่งขาย IPO จำนวน 800.84 ล้านหุ้น เล็งเข้าจดทะเบียนใน SET

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล" ยื่นไฟลิ่งขาย IPO จำนวน 800.84 ล้านหุ้น เล็งเข้าจดทะเบียนใน SET โดยมี บล.กสิกรไทย เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน โดยวัตถุประสงค์ในการระดมทุนเพื่อใช้ขยายสินเชื่อและคืนหนี้

บมจ.เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 800,837,300 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 1.00 บาท/หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 21.0% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) โดยมี บล.กสิกรไทยเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

บริษัทมีวัตถุประสงค์การใช้เงินเพื่อขยายธุรกิจการให้บริการสินเชื่อ รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งชำระคืนเงินกู้บางส่วนจากสถาบันการเงิน และพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ

เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงินซึ่งให้บริการ (1) สินเชื่อเช่าซื้อ (2) สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน (3) สินเชื่อที่มีบ้านและที่ดินเป็นหลักประกัน (4) สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่มิใช่สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน (5) สินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ และ (6) นายหน้าประกันวินาศภัยและประกันชีวิต แก่ลูกค้ารายย่อยทั่วไป ภายใต้เครื่องหมายบริการ "เฮงลิสซิ่ง" ผ่านสาขาของบริษัทฯ จำนวน 402 สาขา ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 ที่ครอบคลุมทุกภูมิภาค

ณ วันที่ 31 ธ.ค.63 บริษัท มีมูลค่าลูกหนี้รวมทั้งสิ้น 8,276.8 ล้านบาท ประกอบด้วย (1) สินเชื่อที่มีหลักประกัน 7,920.3 ล้านบาท และ (2) สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน 356.5 ล้านบาท หรือคิดเป็น 95.7% และ 4.3% ของมูลค่าลูกหนี้รวมของบริษัทฯ ตามลำดับ

บริษัทมีนโยบายขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อมุ่งสู่การเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำของประเทศไทย โดยมีโครงการในอนาคตที่สำคัญ ดังนี้

1.บริษัทมีแผนการขยายธุรกิจให้บริการสินเชื่อทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน โดยเฉพาะสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน และสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ (สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์) ให้แก่ลูกค้ารายย่อยทั่วประเทศ โดยมุ่งเน้นการขยายเครือข่ายสาขาการให้บริการไปยังพื้นที่ใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ พัฒนาสินเชื่อและการบริการให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย รวมถึงนำเสนอบริการที่เกี่ยวข้อง เช่น นายหน้าประกันวินาศภัยและประกันชีวิต ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ และบริการต่อ พ.ร.บ.รถยนต์และรถจักรยานยนต์ เป็นต้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย และเพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการอย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น

บริษัทมีแผนการขยายสาขาเพิ่มเติมเพื่อให้มีสาขารวมจำนวนทั้งสิ้น 830 สาขา ภายในปี 66 ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนเฉลี่ยประมาณ 250,000 บาทต่อสาขา โดยแหล่งเงินทุนที่ใช้สำหรับการขยายสาขาจะมาจากเงินที่ได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์ในครั้งนี้ วงเงินกู้ระยะสั้น และเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ

2.การพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านทรัพยากรเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อรองรับการขยายตัวของบริษัท โดยมีแผนจะพัฒนา Software และ Mobile Application สำหรับการให้บริการสินเชื่อของบริษัทเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงลูกค้า

ปัจจุบัน บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 3,810,000,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 3,810,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 3,009,162,700 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 3,009,162,700 หุ้น ภายหลังจากการเสนอขายหุ้น IPO แล้วบริษัทฯ จะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเต็มจำนวน

โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท ได้แก่ กลุ่มทวีเฮง ถือหุ้น 64% ภายหลังเสนอขายหุ้น IPO จะลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 50.5% กลุ่มพัฒนสิน ถือหุ้น 14% จะลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 11.1% กลุ่มมิตรเอื้ออารีย์ ถือหุ้น 12.4% จะลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 9.8% และกลุ่มสินปราณี ถือหุ้น 9.6% จะลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 7.6%

ผลประกอบการปี 61-63 บริษัทมีรายได้ดอกเบี้ยจากสินเชื่อที่มีหลักประกัน ซึ่งเป็นรายได้หลักอยู่ที่ 1,238.8 ล้านบาท 1,556.2 ล้านบาท และ 1,401.1 ล้านบาทตามลำดับ และรายได้รวม 1,406.9 ล้านบาท 1,743.4 ล้านบาท และ 1,590.0 ล้านบาทตามลำดับ ขณะที่กำไรสุทธิเท่ากับ 151.8 ล้านบาท 188.7 ล้านบาท และ 318.1 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 10.8% 10.8% และ 20% ตามลำดับ อัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 44.7% ต่อปี

ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและหักทุนสำรองตามที่กฎหมายกำหนดและตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของบริษัทฯ แต่ในกรณีที่บริษัทฯ มีผลขาดทุนสะสมอยู่ บริษัทฯ จะพิจารณาไม่จ่ายเงินปันผล


กำลังโหลดความคิดเห็น