xs
xsm
sm
md
lg

“เงินติดล้อ” ระดมทุน 3 หมื่นล้าน จ่อเทรดวันแรก 10 พ.ค.นี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“เงินติดล้อ” เตรียมระดมทุนกว่า 3 หมื่นล้านบาท เปิดขายไอพีโอ 22-26 เม.ย. ช่วงราคาหุ้นละ 34.00-35.50 บาท ขั้นต่ำ 1 พันหุ้น ประกาศผล 28 เม.ย. ก่อนเข้าเทรดวันแรก 10 พ.ค.นี้ ผู้บริหารประกาศแผน 3 ปี รายได้โตเฉลี่ย 15-20% เปิดสาขาเพิ่ม 500 แห่ง เล็งควบรวมกิจการขยายธุรกิจต่อเนื่อง พร้อมลงทุนขยายตลาดอาเซียน

นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR เปิดเผยถึงวัตถุประสงค์ของการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ ว่า เพื่อเป็นการสร้างการต่อยอดในการเตรียมความพร้อมเพื่อเติบโตให้แก่ธุรกิจ และสร้างความแข็งแกร่งของเงินทุน โดยบริษัทมีความมุ่งมั่นในการรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน และก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจนายหน้าประกันภัยสำหรับรายย่อย ด้วยความตั้งใจที่จะส่งเสริมและยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คนให้เข้าถึงบริการทางการเงินอย่างเท่าเทียม โปร่งใส และเป็นธรรม

พร้อมกับการพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่เรียบง่าย สะดวก รวดเร็ว และเหมาะสมต่อลูกค้า โดยเงินติดล้อมุ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่หลากหลาย เช่น สินเชื่อรถจักรยานยนต์ รถยนต์ รถบรรทุก รถไถ รถแทรกเตอร์ เป็นต้น โดยมีฐานลูกค้าเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ของประเทศที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่า 10,000 บาท มีเงินหมุนเวียนไม่แน่นอนและประวัติข้อมูลทางการเงินจำกัด ผ่านการให้บริการด้วยความจริงใจของพนักงานของบริษัท

สำหรับเป้าหมายการดำเนินธุรกิจหลังจากเข้าจะทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตเฉลี่ย 15-20% ต่อปี ในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยที่จะมีการขยายการเติบโตของสินเชื่อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการขยายสาขาเพิ่มอีก 500 สาขาในช่วง 2-3 ปีนี้ จากปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 1,500 สาขา และการขยายสินเชื่อควบคู่ไปกับการบริการผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่บริษัทจะนำมาใช้ให้บริการในด้านสินเชื่อ รวมถึงรายได้จากธุรกิจนายหน้าขายประกันวินาศภัยรายย่อยเติบโตประมาณ 40% ต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

โดยในปี 63 บริษัทมีรายได้รวมที่ 1.05 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ 92% และรายได้จากธุรกิจนายหน้าขายประกันวินาศภัยลูกค้ารายย่อย 8%

นอกจากนี้ บริษัทมีนโยบาขยายธุรกิจไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องทั้งต้นน้ำและกลางน้ำที่จะเข้ามาต่อยอดและเสริมศักยภาพให้แก่ธุรกิจหลัก ด้วยการซื้อและควบรวมกิจการ (M&A) เพื่อทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน และการขยายธุรกิจออกไปในประเทศกลุ่มอาเซียน ที่มีแนวโน้มขยายตัวสูง เช่น อินโดนีเซีย ฟิลลิปปินส์ และเวียดนาม เป็นต้น

ส่วนด้านฐานะความมั่นคงนั้น ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีการตั้งสำรองในระดับที่สูงกว่าบริษัทอื่นๆ ที่ดำเนินธุรกิจประแภทเดียวกัน ในปี 63 บริษัทมีอัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) อยู่ที่ 325% เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมที่ 133.2% ขณะที่สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่ำเพียง 1.7% เทียบกับอุตสาหกรรมอยู่ที่ประมาณ 2.3%

ด้านนายอนุวัฒน์ ร่วมสุข กรรมการผู้จัดการ ประธานสายงานตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคินภัทร จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) กล่าวว่า หุ้น TIDLOR คาดจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันที่ 10 พ.ค.64 หลังจากเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 22-26 เม.ย.นี้ ผ่านช่องทางออนไลน์ของธนาคารกรุงศรี (BAY) ธนาคารกสิรไทย (KBANK) และ บล.กรุงศรี ซึ่งจะมีการประกาศผลการจัดสรรภายในวันที่ 28 เม.ย.64 ผ่านทาง https://www.settrade.com

สำหรับการเสนอขาย IPO ของ TIDLOR จำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 907,428,600 หุ้น ช่วงราคาจองซื้อไว้ที่ 34-36.50 บาท/หุ้น ซึ่งทำให้บริษัทมีมูลค่าตลาด (Market Cap) หลังเข้าตลาดราว 7.88-8.46 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ หากคำนวณจากราคาหุ้นดังกล่าวคาดจะสามารถระดมเงินทุนได้ประมาณ 30,853-33,121 ล้านบาท

บริษัทคาดว่านักลงทุนจะให้การตอบรับในการจองซื้อหุ้น IPO กันอย่างคึกคัก จากศักยภาพของบริษัทที่มีประสบการณ์ในการดำเนินสินเชื่อทะเบียนรถมาอย่างยาวนาน ซึ่งมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีทีมงานและผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจโดยตรง เข้าใจความต้องการของลูกค้า ทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าออกไปได้มาก ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยังมีธุรกิจนายหน้าซื้อขายประกันวินาศภัยที่เข้ามาต่อยอดธุรกิจ ส่งผลให้ธุรกิจมีการเติบโตต่อเนื่องและไม่หยุดอยู่กับที่

ขณะที่ช่วงราคาเสนอขาย IPO ที่ 34-36.50 บาท/หุ้น ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับคู่แข่งอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน เนื่องจากบริษัทไม่ได้ทำธุรกิจให้สินเชื่อทะเบียนรถเพียงอย่างเดียว แต่ได้มีการต่อยอดในการทำธุรกิจนายหน้าซื้อขายประกันวินาศภัยให้ลูกค้ารายย่อยเพิ่มเติม ทำให้บริษัทมีรายได้ใหม่ๆ ที่เติบโตอย่างมากเข้ามาเสริม และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น และการเสนอขาย IPO ในครั้งนี้จะเป็นก้าวที่สำคัญในการนำเงินไปใช้ในการขยายธุรกิจ ทำให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน


“จากภาพรวมธุรกิจเป็นปัจจัยที่สะท้อนภาพของความสนใจของนักลงทุนสถาบันที่เป็น Cornerstone ทั้งไทยและต่างประเทศที่สนใจจองซื้อหุ้น IPO ของ TIDLOR มากถึง 32 ราย คิดเป็นสัดส่วน 69% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายทั้งหมด ทำให้มั่นใจว่านักลงทุนรายย่อยจะให้การตอบรับในการจองซื้อ IPO เป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน ซึ่งหากมีความต้องการจองซื้อ IPO เป็นจำนวนมากก็ยังมีหุ้นส่วนเกินที่จัดสรรไว้ราว 136 ล้านหุ้นที่อาจจะนำมาจัดสรรเพิ่มเติมให้แก่นักลงทุนได้” นายอนุวัฒน์ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น