NSL เปิดขายหุ้น IPO จำนวน 75 ล้านหุ้น เคาะราคาขายหุ้นละ 12 บาท เปิดจองซื้อ 11-13 พ.ค.คาดเข้าเทรดใน SET วันที่ 19 พ.ค.นี้ โดยมีบริษัทที่ปรึกษาเอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางด้านการเงิน
บมจ.เอ็นเอสแอลฟู้ดส์ (NSL) กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 75 ล้านหุ้น คิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของ NSL หลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในครั้งนี้ ราคาหุ้นละ 12.00 บาท เปิดให้จองซื้อหุ้นในช่วงวันที่ 11-13 พ.ค. และคาดว่าจะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (SET) ในวันที่ 19 พ.ค.นี้ โดยมีบริษัทที่ปรึกษาเอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางด้านการเงิน
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จะใช้รองรับแผนการขยายกำลังการผลิตสำหรับโครงการในอนาคต โดยจะก่อสร้างอาคารประมาณ 240 ล้านบาท และลงทุนในเครื่องจักรประมาณ 110 ล้านบาท ภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ชลบุรี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 350 ล้านบาท กำลังการผลิตประมาณ 21 ตันต่อวัน สามารถรองรับรายได้สูงสุด 1,200 ล้านบาทต่อปี
NSL ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายแซนด์วิชอบร้อน เบเกอรี ขนมขบเคี้ยว นำเข้าและจำหน่ายเนื้อสัตว์และผักแช่แข็ง ก่อตั้งขึ้นในปี 49 ด้วยแนวทางการดำเนินงานในรูปแบบ "The Happy Taste Creator" สู่การขยายพอร์ตธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ผ่านกลยุทธ์ "Nutrition Sustainable for Life" คือการผลิตอาหารที่มีคุณค่าสูงอย่างยั่งยืนด้วยนวัตกรรมการผลิตที่ก้าวหน้า เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภค
ปัจจุบัน ธุรกิจหลักคือการเป็นผู้ผลิตแซนด์วิชอบร้อนอันดับหนึ่งให้กับร้านสะดวกซื้อ 7-ELEVEN ทั่วประเทศกว่า 12,000 สาขาทั่วประเทศ ในหมวดเบเกอรีมากกว่า 40 รายการ ซึ่งปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 1,250,000 ชิ้นต่อวัน นอกเหนือจากแซนด์วิชอบร้อนและผลิตภัณฑ์เบเกอรีที่จำหน่ายในเซเว่น อีเลฟเว่น ยังมีสินค้าในหมวดอื่นๆ เช่น ขนมปังเนื้อนุ่มและขนมปังโฮลวีท ภายใต้แบรนด์ "Bakery Arigato" จำหน่ายในท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ต และแฟมิลี่มาร์ท "Natural Bites" ขนมเพื่อสุขภาพ "ChiLee" ขนมพริกกรอบ "Pangtai" พายแท่งและขนมปังกรอบ
นอกจากนี้ ยังมีการนำเข้าอาหารทะเล เนื้อสัตว์ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เจาะเข้าเชนร้านอาหาร โรงแรม และซูเปอร์มาร์เกต ด้วย
นางยอดฤดี สันตติกุล รองกรรมการผู้อำนวยการ หัวหน้าสายงานตลาดทุน บล.เอเซีย พลัส ในฐานะผู้รับประกันการจัดจำหน่ายและผู้จัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ให้กับ NSL กล่าวว่า ราคาเสนอขาย IPO ของ NSL ที่ 12 บาท/หุ้น คิดเป็นระดับ P/E ที่ 17.9 เท่า เมื่อเทียบจากผลการดำเนินงานในปี 63 ซึ่งได้ให้ส่วนลด (Discount) 32.5% เมื่อเทียบกับระดับ P/E ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันที่มี P/E ที่ 32.4%
NSL จะกระจายหุ้น IPO จากทั้งหมดที่เสนอขาย 75 ล้านหุ้น แบ่งเป็น การจัดสรรให้แก่พนักงานและผู้มีอุปการะคุณของบริษัท จำนวน 15 ล้านหุ้น จัดสรรให้แก่นักลงทุนสถาบัน จำนวน 7 ล้านหุ้น และจัดสรรให้กับลูกค้าของผู้รับประกันการจัดจำหน่ายและผู้จัดจำหน่าย จำนวน 53 ล้านหุ้น
โดยในช่วงของการเดินสายให้ข้อมูลกับนักลงทุนสถาบันในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีนักลงทุนสถาบันให้ความสนใจและแสดงความต้องการจองซื้อ IPO ของบมจ.เอ็นเอสแอลฟู้ดส์ เป็นจำนวนมาก โดยมีความต้องการจองหุ้นสูงกว่าสัดส่วนที่กระขายให้กับนักลงทุนสูงถึง 7 เท่า สะท้อนการตอบรับที่ดีของนักลงทุนสถาบัน และตอกย้ำความเชื่อมั่นในศักยภาพและการเติบโตของธุรกิจที่ดี
นางสาวสุวิมล ศรีโสภาจิต ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า จุดเด่นของ NSL มาจากแนวโน้มของรายได้ที่มีความยั่งยืน ผู้บริหารมีความเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคเป็นอย่างดี ทำให้พัฒนาและผลิตสินค้าออกมาได้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี และยังมีพันธมิตรที่เป็นคู่ค้าที่ดีที่ร่วมกันมาอย่างต่อเนื่องในเครือซีพี คือ บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) และร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ที่มีสัญญาในการทำธุรกิจร่วมกันมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 57-69 และทำให้บริษัทมีช่องการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางเซเว่นอีเลฟเว่นครอบคลุมทั่วประเทศ ที่เข้าถึงแทบทุกพื้นที่ในประเทศไทย
นอกจากนี้บริษัทยังมีศักยภาพที่ดีในการบริหารจัดการสินค้สและระบบโลจิสติกส์ที่ดี ทำให้สินค้าของบริษัทที่ถูกขนส่งไปจำหน่ายในช่องทางการจำหน่ายต่างๆมีคุณภาพที่ดี และบริษัทยังมีความสามารถในการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ดี จะเห็นได้จากในผลการดำเนินงานในปี 63 ที่ผ่านมาที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้รายได้ลดลงไป 13% แต่กำไรสุทธิของบริษัทลดลงไปเพียง 3% เท่านั้น แสดงถึงศักยภาพของทีมงานทุกคนในบริษัทที่บริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยให้นักลงทุนจะให้การตอบรับที่ดี
นายสมชาย อัศวปิยานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ NSL กล่าวว่า ในปี 64 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 16% จากปีก่อน หรือมาอยู่ที่ 3.5 พันล้านบาท และตั้งเป้ารายได้ภายใน 5 ปี จะสูงขึ้นไปแตะระดับ 5 พันล้านบาท พร้อมกับเพิ่มสัดส่วนรายได้จากสินค้าภายใต้แบรนด์ของ NSL เป็น 30% ภายใน 5 ปี ปัจจุบันสัดส่วนรายได้มาจากกลุ่มธุรกิจสินค้าเบเกอรี่ 95% และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Food service อีก 4.5%
ธุรกิจของ NSL ยังมีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีความแข็งแกร่งของช่องทางการจำหน้ายในช่องทางของคู่ค้าที่สำคัญ คือ เซเว่นอีเลฟเวนที่มีการล็อกสัญญาไปจนถึงปี 69 และการนำเงินจากการเสนอขาย IPO มาขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น จะทำให้บริษัทมีศักยภาพในการสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุนอย่างยั่งยืน