xs
xsm
sm
md
lg

บล.บัวหลวงชี้แนวโน้ม “หุ้นไทย” Q2 ลุ้นแตะ 1,600 จุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หลักทรัพย์บัวหลวง วิเคราะห์แนวโน้มตลาดหุ้นไทยไตรมาส 2 ปี 64 ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ที่กลับมาระบาดระลอกใหม่ มีโอกาสลุ้นแตะระดับ 1,600 จุด ช่วงปลายไตรมาส คาดกำไรบริษัทจดทะเบียนรวมครึ่งปีแรกของปี 64 เติบโต 77% แนะหาจังหวะลงทุน “2 หุ้นกลุ่มเด่น”

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์บุคคล บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 2 ปี 2564 ว่า แม้สถานการณ์โควิด-19 จะกลับมาระบาดระลอกใหม่ และเชื้อไวรัสเกิดการกลายพันธุ์ แต่เชื่อว่า SET Index ยังมีโอกาสลุ้นแตะระดับ 1,600 จุดได้ ในช่วงปลายไตรมาส 2 หนุนด้วย 4 เหตุผลหลัก คือ 1.กำไรบริษัทจดทะเบียนในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้อาจเติบโตประมาณ 77% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในช่วงไตรมาสแรกอาจโตประมาณ 83% ขณะที่ในช่วงไตรมาส 2 อาจขยายตัวประมาณ 71% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากฐานกำไรที่ต่ำในปีที่ผ่านมา ประกอบกับตอนนี้ภาครัฐไม่ได้ประกาศล็อกดาวน์ประเทศเหมือนปี 63 มีเพียงมาตรการคุมเข้มเวลาเปิดปิดในบางกิจการเพื่อป้องการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19

“กำไรบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้น โดยได้รับแรงหนุนมาจากกลุ่มน้ำมัน และปิโตรเคมี หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ระดับ 20 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มายืนระดับ 66 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล รับกับการบริโภคน้ำมันที่ฟื้นตัวทั่วโลก ขณะที่กลุ่มสื่อสาร นิคมอุตสาหกรรม วัสดุก่อสร้าง และประกัน คาดว่าจะมีกำไรเติบโตในไตรมาสแรกเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาส 4 ปี 63 สะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างช้าๆ จากจุดต่ำสุดในต้นปี 63 นายชัยพร กล่าว

2.ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องเพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการท่องเที่ยว เช่น ผลักดันงบลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 3 แสนล้านบาท ธปท.อนุมัติให้ธนาคารพาณิชย์ผ่อนผันการชำระหนี้ และออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) กระทรวงการคลังขยายมาตรการ “คนละครึ่ง” ขยายระยะเวลาโครงการ "เราชนะ" ไปจนถึงเดือน มิ.ย.64 จากเดิมที่จะสิ้นสุดในเดือน พ.ค.นี้ และยังเพิ่มวงเงินอีก 3,000 ล้านบาท เป็น 2.13 แสนล้านบาท และขยายระยะเวลาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 90% ลดอัตราธรรมเนียมการโอนอสังหาริมทรัพย์เหลือ 0.01% รวมถึงการพิจารณาอาจลดมาตรการเข้มงวดในมาตรการพิจารณาสินเชื่อ LTV และผ่อนผันให้ชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยได้ง่ายขึ้น เป็นต้น

3.แนวโน้มทิศทางอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำไปอย่างน้อยอีก 12-18 เดือน หลังเมื่อปีก่อนธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาต่ำเป็นพิเศษ เพื่อช่วยลดผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ขณะเดียวกัน ยังคงเดินหน้าอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยตรงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ส่งสัญญาณคงดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำ 0-0.25% ไปถึงปี 66 และ 4.นักลงทุนอาจคลายความกังวลและเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (US Bond Yield) อายุ 10 ปี อาจเริ่มอ่อนตัวลง จากช่วงที่ผ่านมาที่ปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 1.75% จากความกังวลอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะพุ่งจนธนาคารกลางคุมไม่อยู่ และต้องปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นในที่สุด

“จากสถานการณ์โควิด-19 ที่กลับมาระบาดระลอกใหม่ เรามองว่ายังเร็วเกินไปที่จะเห็นการปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียน และเป้าหมาย SET Index ปี 64 ลงอย่างมีนัย ปัจจุบันเราคาดว่ากำไรต่อหุ้นจะอยู่ระดับ 83 จุด และดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปี 1,605 จุด ตามลำดับ เนื่องจากกลุ่มส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ น้ำมัน ปิโตรเคมี พาณิชย์ สถาบันการเงิน และวัสดุก่อสร้างผ่านจุดต่ำสุด แม้ภาคท่องเที่ยวยังไม่สามารถกลับมาได้ โดยจะขอรอดูสถานการณ์อีกประมาณ 1 เดือน หากมีผู้ติดเชื้อใหม่พุ่งขึ้นทำนิวไฮเรื่อยๆ อาจเห็นการปรับประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนลง” นายชัยพร กล่าว

นายชัยพร กล่าวต่อว่า เราแนะนำลงทุนใน “2 กลุ่มธุรกิจหลัก” คือ 1.กลุ่มกำไรเติบโตเร็วที่สามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่อย่าง หุ้นกลุ่มการเงินบุคคล บริหารจัดการหนี้ ประกัน และอิเล็กทรอนิกส์ และ 2.กลุ่มธุรกิจรอการเปิดประเทศเชื่อมโยงการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศ คือ กลุ่มค้าพาณิชย์ สนามบิน โรงแรม และร้านอาหาร

ส่วนกลุ่มที่แนะนำให้รอดูสถานการณ์ คือ 1.กลุ่มกำไรฟื้นตัวกลับเร็ว อย่างกลุ่มน้ำมัน ปิโตรเคมี กองเรือ สถาบันการเงิน และโรงกลั่น โดยอาจเห็นราคาหุ้นปรับตัวลงบ้างในช่วงไตรมาส 2 นี้ เพราะราคาหุ้นมีการฟื้นตัวเร็วมากไปแล้ว ประกอบกับราคาน้ำมันดิบมีความเสี่ยงอ่อนตัวลง จากประเทศซาอุดีอาระเบียที่อาจปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบอีกราว 1 ล้านบาร์เรล ในการประชุมโอเปคเดือน พ.ค.นี้ และ 2.กลุ่มกำไรเติบโตสม่ำเสมอ เช่น กลุ่มโรงฟ้า และกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่ยังไม่ได้รับความสนใจมากนักในช่วงกำไรตลาดหุ้นมีการฟื้นตัวที่เร็ว

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะนำลงทุน “ตลาดหุ้น” สัดส่วน 65% แบ่งเป็น หุ้นไทย 35% และอีกครึ่งหนึ่งในส่วนนี้ให้กระจายการลงทุนไปตลาดหุ้นต่างประเทศ “ทองคำ” สัดส่วน 10% “กองทุนอสังหาริมทรัพย์ และกองทุน REIT” สัดส่วน 10% ส่วนที่เหลืออีก 15% แนะถือครอง “ตราสารหนี้ระยะสั้น” และ “เงินสด” โดยเราคาดว่านโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนคลาย รวมถึงการเข้าถึงวัคซีนของประชากรโลกที่เพิ่มสูงขึ้นจากนี้จะสนับสนุนการปรับตัวขึ้นของราคาสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้นได้โดดเด่นสุด

“กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า เราคาดจะเห็นกรอบการแกว่งตัวของดัชนีประมาณ 100 จุด ฉะนั้นการลงทุนในช่วงนี้อาจต้องอยู่ในลักษณะ “ลงซื้อ ขึ้นขาย” โดยหุ้นไซส์กลางจะแกว่งตัวอยู่ในระดับ 5-7% หุ้นมูลค่าตลาดใหญ่จะแกว่งตัวแคบประมาณ 5% ส่วนหุ้นขนาดเล็กตอนนี้มีเสน่ห์มากกับตลาด เพราะสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า ท่ามกลางนักลงทุนยังคงเชื่อมั่นว่า สถานการณ์เศรษฐกิจจะฟื้นตัว และกำไรบริษัทจดทะเบียนจะเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะไม่รวดเร็วเท่าประเทศที่มีการฉีดวัคซีนในสัดส่วนที่สูงมาก ปัจจุบันนักลงทุนโฟกัสหุ้นนอก SET100 มากขึ้น เพราะมีโอกาสจะเห็นความผันผวนของราคาประมาณ 10-15% ส่วนนักลงทุนคนไหนที่ถือหุ้น SET50 อยู่ แนะนำให้ถือต่อไป เพื่อรอการฟื้นตัวของรายได้ กำไรที่ต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี” นายชัยพร กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น