บล.เอเซียพลัส เปิดโผหุ้นที่ได้รับผลกระทบทั้งบวก และลบ หลังเรือสินค้าขนาดใหญ่ของ Ever Given จอดเกยตื้น ขวางคลองสุเอซมาเกือบสัปดาห์ แนะจับตาหุ้นส่งออก ทั้งอาหาร-อิเล็กฯ หากสถานการณ์ยังยืดเยื้อ อาจส่งผลกระทบต้นทุนการขนส่ง ขณะที่กลุ่มน้ำมัน-โลจิสติกส์ได้รับอานิสงส์
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ จาก บล.เอเซียพลัส เปิดเผยถึงผลกระทบของสถานการณ์ที่เรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ Ever Given เกยตื้นขวางเส้นทางขนส่งสำคัญของโลกที่คลองสุเอซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าเส้นทางขนส่งสินค้าระหว่างยุโรปกับเอเชียมาเกือบสัปดาห์ว่า สถานการณ์ล่าสุด คาดว่าจะใช้เวลาราว 1-2 สัปดาห์ในการแก้สถานการณ์ หรือกรณีเลวร้ายอาจจะนานร่วมเดือนจะเป็นการซ้ำเติมวิกฤตตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน ส่งผลให้อัตราค่าระวางของสายเรือทุกประเภทปรับตัวขึ้นตามต้นทุนเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น เช่น ราคาน้ำมันดิบ (วันศุกร์พลิกกลับมา +4%) ไม่ว่าจะเป็นเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ และเรือเทกอง รวมถึงเรือขนส่งน้ำมันผลกระทบโดยรวมเป็นปัจจัยลบกระทบต่อการค้าโลกช่วงสั้น
โดย ASPS ประเมินผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ในส่วนของกลุ่มบริษัทจดทะเบียนที่จะได้รับผลกระทบ ประกอบด้วย กลุ่มส่งออก กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งกลุ่มน้ำมัน และขนส่ง
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคาดว่า กลุ่มเกษตร-อาหาร ประกอบด้วย STGT, STA, TU, TFG, GFPT CPF อาจจะมีจำกัด เพราะเป็นผลกระทบระยะสั้นและสัดส่วนการส่งออกไปสหภาพยุโรปไม่มาก แต่ยังต้องติดตามว่าปัญหาดังกล่าวจะยืดเยื้อหรือไม่ ซึ่งหากยืดเยื้ออาจทำให้ค่าขนส่งของผู้ประกอบการสูงขึ้นเพราะต้องใช้เส้นทางขนส่งที่ยาวขึ้น ดังนี้
STGT : คาดกระทบจำกัด จากการสอบถามทาง STGT พบว่าปัจจุบัน STGT มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกถุงมือยางไปสหภาพยุโรปราว 21% ของรายได้รวม/ปี ซึ่งทาง STGT ประเมินว่าบริษัทเดินเรือจะใช้เส้นทางขนส่งผ่านแหลมกู้ดโฮปหรือเส้นทางอื่นแทนไปก่อน
STA : คาดกระทบจำกัด จากการสอบถามทาง STA พบว่า ปัจจุบัน STA มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกยางพาราและถุงมือยางไปสหภาพยุโรปราว 12% ของรายได้รวม/ปี ซึ่งทาง STA ประเมินว่าบริษัทเดินเรือจะใช้เส้นทางขนส่งผ่านแหลมกู้ดโฮปหรือเส้นทางอื่นแทน
TU : คาดกระทบจำกัด ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกไปสหภาพยุโรปราว 3% ของรายได้รวม ทั้งนี้ TU มีโรงงานแปรรูปทูน่าที่ประเทศเซเชลส์ ซึ่งผลิตทูน่าสุกแช่แข็ง (TunaLoin) เพื่อส่งออกไปสหภาพยุโรป เพื่อผลิตทูน่ากระป๋อง คิดเป็นสัดส่วนราว 5% ของรายได้รวม ทำให้ TU มีสัดส่วนรายได้ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบทั้งสิ้น ราว 8% ของรายได้รวม/ปี
TFG : คาดกระทบจำกัดเช่นกัน จากการสอบถามทาง TFG พบว่า ปัจจุบัน TFG มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกไก่ไปสหภาพยุโรปราว 6% ของรายได้รวม/ปี ซึ่ง ทาง TFG ประเมินว่าปัญหาดังกล่าวจะแก้ไขได้ใน 1-2 สัปดาห์
GFPT : คาดกระทบจำกัดเช่นกัน จากการสอบถามทาง GFPT พบว่า ปัจจุบัน GFPT มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกไก่ไปสหภาพยุโรปราว 5% ของรายได้รวม/ปี
CPF : คาดกระทบจำกัดเช่นกัน จากการสอบถามทาง CPF พบว่า ปัจจุบัน CPF มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกไก่ไปสหภาพยุโรปเพียง 2% ของรายได้รวม/ปี
กลุ่มชิ้นส่วนฯ KCE-DELTA-SVI-HAN ผลกระทบจำกัด
KCE : ได้รับผลกระทบจำกัด เนื่องจากสัดส่วนที่บริษัทรับผิดชอบขนส่งเป็น 40% ของคำสั่งซื้อทั้งหมด (และลูกค้ารับผิดชอบเอง 60%) โดยในส่วนที่ KCE รับผิดชอบจะเป็นการส่งทางอากาศ 60% และทางเรือ 40% ทำให้รายได้ที่ใช้การขนส่งทางเรือที่ KCE รับผิดชอบคิดเป็น 24% ของรายได้รวม โดย KCE มีสัดส่วนรายได้ส่งไปสหภาพยุโรป 55%ของรายได้รวม/ปี ทำให้ Net exposure คิดเป็น 13% ของรายได้ทั้งหมด
DELTA : คาดว่าจะได้รับผลกระทบจำกัด โดย DELTA มีลูกค้าสหภาพยุโรปราว 12% ของรายได้รวม/ปี โดยคาดว่าบริษัทขนส่งจะเปลี่ยนเส้นทางไปขนส่งผ่านแหลมกู้ดโฮปหรือเส้นทางอื่นแทนไปก่อน ซึ่งจะส่งผลให้ระยะการส่งมอบสินค้านานขึ้นราว 1-2 สัปดาห์
SVI : คาดว่าจะกระทบจำกัด ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีลูกค้าส่วนใหญ่กว่า 80% ในสหภาพยุโรปแต่การขนส่งและนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่กว่า 90% เป็นการขนส่งทางอากาศเป็นหลัก ทำให้ให้ Net exposure จากการขนส่งทางเรือไปยุโรปคิดเป็นเพียงราว 5% ของรายได้ทั้งหมด
HANA : คาดกระทบจำกัด เนื่องจากไม่ได้มีลูกค้าอยู่ในสหภาพยุโรป โดยลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่กว่า 80% อยู่ในทวีปอเมริกาและเอเชียเป็นหลัก แต่อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากลูกค้าบางส่วนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว
พลังงาน-โลจิสติกส์ได้รับอานิสงส์
อย่างไรก็ตาม สำหรับกลุ่มพลังงานและกลุ่มโลจิสติกส์ได้รับประโยชน์จากกรณีดังกล่าว
กลุ่มพลังงาน มีปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นจาก Supply ที่หายไป ที่สำคัญ คือ ตลาดรอผลกาประชุม OPEC+ 1 เม.ย. ช่วงสั้น ราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นดีต่อ PTT (Buy ราคาเป้าหมาย 48.5 บาท) และ PTTEP (Buy ราคาเป้าหมาย 118 บาท)
กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ที่รับจัดการขนส่งทางเรือ (Sea Freight) คาดจะได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ เช่น LEO (รายได้จาก Sea Freight 69%) III (รายได้จาก Sea Freight 10%) SONIC (รายได้จาก Sea Freight 63%)
ทั้งนี้ หุ้นที่ฝ่ายวิจัย Coverage คือ WICE (BUY ราคาเป้าหมาย 8.00 บาท) มีสัดส่วนรายได้จาก SeaFreight 16% และกลุ่มธุรกิจห้องเย็น-คลังสินค้าจะได้รับประโยชน์คือ JWD (BUY ราคาเป้าหมาย 11.00 บาท) เพราะผู้ประกอบการจะนำสินค้าเข้ามาพักไว้ในคลังบริเวณท่าเรือแหลมฉะบัง ในระหว่างที่ต้องรอเวลาบรรจุเข้าตู้สินค้ายาวนานขึ้น