สบน.ยันหนี้สาธารณะปีงบ 64 อยู่ที่ 56% ตามกรอบวินัยการเงินการคลัง ไม่สูงเหมือนวิกฤตต้มยำกุ้ง ชี้หนี้ 8.1 ล้านล้านบาท ไทยแบกภาระหนี้สาธารณะเพียง 6.3 ล้านล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นความรับผิดชอบของรัฐวิสาหกิจ
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า หนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่จำนวน 8.1 ล้านล้านบาท คิดเป็น 51.9% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ยืนยันว่าระดับหนี้สาธารณะของไทยในปีงบประมาณ 2564 นี้ จะอยู่ที่ประมาณ 56% ตามกรอบความวินัยการเงินทางการคลังไม่เกิน 60% ต่อจีดีพี ซึ่งสาเหตุที่ระดับหนี้สาธารณะปรับตัวสูงขึ้นจากระดับ 40% เป็นเพราะการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เงินกู้ฉุกเฉิน 1 ล้านล้านบาท เพื่อนำมาใช้เพื่อดูแลสถานการณ์โควิด-19 เนื่องจากเงินในงบประมาณในปี 2564 ไม่เพียงพอ
นางแพตริเซีย ยืนยันว่า หนี้สาธารณะของไทยยังไม่ชนเพดาน โดยปัจจุบันสัดส่วนหนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ระดับ 8.1 ล้านล้านบาท คิดเป็น 51.9% ต่อจีดีพี ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังภาครัฐ พ.ศ.2561 ที่กำหนดเพดานหนี้สาธารณะไว้ที่ระดับ 60% ต่อจีดีพี แม้ว่าในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นผลทำให้รัฐบาลต้องมีการกู้เงินเพิ่มขึ้นเพื่อมาดูแล เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจ จนส่งผลให้ระดับหนี้สาธารณะของประเทศไต่ขึ้นไปใกล้เพดาน แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง
ผู้อำนวยการ สบน.กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมามีการระบาดของโควิด-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและรายได้ลดลง ส่งผลต่อการจัดเก็บภาษีให้ลดลงตามไปด้วย เพราะมีการเลื่อนการชำระภาษีทั้งหมดออกไป ทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล ทำให้รายได้เข้ามาไม่ทัน รัฐบาลจึงจำเป็นต้องมีการกู้เงิน และใช้เงินกู้ออกไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจก่อน
"เงินที่กู้มารัฐบาลได้นำมาใช้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ผ่านการเดินหน้าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เกือบทั้งหมดของประเทศ และใช้ในการฟื้นฟูและเยียวยาเศรษฐกิจ ดังนั้น มาตรการทางการคลังจึงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในขณะนี้" ผู้อำนวยการ สบน.กล่าว
ทั้งนี้ เราใช้นโยบายการบริหารหนี้สาธารณะอย่างรอบคอบ เพราะเคยมีประสบการณ์การกู้ต่างประเทศซึ่งทำให้หนี้สาธารณะพุ่งสูงขึ้นมาก โดยในช่วงตั้งแต่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 ไทยได้มีการตั้งกรอบหนี้สาธารณะไว้สูงถึง 65% ต่อจีดีพี ตอนนี้ก็มีการปรับกฎหมายหลายตัวเพื่อให้รัฐบริหารหนี้อย่างรอบคอบ และลดกรอบหนี้สาธารณะมาอยู่ที่ระดับไม่เกิน 60% ต่อจีดีพี ตอนนี้ถือว่าไทยยังมีเครดิตดี เพราะเราบริหารได้ดี และสถานะการคลังยังแข็งแกร่ง
พร้อมกันนี้ การเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะของไทยสอดคล้องกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลกในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เช่น ตลาดเกิดใหม่และประเทศในเอเชียเฉลี่ยการก่อหนี้อยู่ที่ 67% จากเดิมอยู่ที่ 60% ในขณะที่ประเทศไทย ณ สิ้นปีงบประมาณ 2564 การก่อหนี้สาธารณะอยู่ที่ประมาณ 56%
“หากคิดตามจำนวนหนี้สาธารณะทั้งหมด 8.1 ล้านล้านบาท จริงๆ แล้วหนี้สาธารณะของไทยที่รัฐบาลจะต้องแบกรับมีเพียง 6.3 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 77% โดยเป็นการกู้ตรง และจากการกู้ที่รัฐบาลออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เงินกู้พิเศษ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่วนที่เหลือจะเป็นเงินที่รัฐวิสาหกิจกู้มา ซึ่งรัฐวิสาหกิจจะเป็นผู้ชำระหนี้ด้วยตัวเองไม่กระทบหนี้สาธารณะภาพรวม ซึ่งถ้าเป็นสถานการณ์ปกติหากมีการก่อหนี้ถึง 60% จะถือว่าประเทศมีความเสี่ยงมาก แต่ในช่วงโควิด-19 แม้เพดานหนี้จะดันสูงก็ไม่น่าห่วง เพราะการกู้เงินเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะทำให้จีดีพีไม่หดตัวลง”
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่าหนี้สาธารณะในส่วนที่รัฐบาลกู้โดยตรงทั้งหมด คิดเป็น 77% ของพอร์ตหนี้สาธารณะทั้งหมด และ 73% จากจำนวนหนี้สาธารณะที่รัฐบาลกู้โดยตรง เป็นการกู้เพื่อมาลงทุนพัฒนาประเทศ ส่วนอื่นเป็นหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่จะใช้รายได้ของตัวเองในการชำระหนี้ และหนี้ของหน่วยงานอื่นๆ ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลต้องดูแลจริงๆ เกี่ยวกับหนี้สาธารณะ คือ 6.3 ล้านล้านบาท จากสัดส่วนหนี้สาธารณะทั้งหมดที่ 8.1 ล้านล้านบาท
"ทุกคนอาจจะมองว่าหนี้สาธารณะของไทยเยอะ แต่อยากยืนยันว่า หนี้สาธารณะของไทยยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง รัฐบาลบริหารหนี้อย่างรอบคอบ และมีวินัยสูงมาก สิ่งที่อยากให้ประชาชนมั่นใจ คือ สบน. จะทำหน้าที่ให้รัฐบาลอย่างครบถ้วน คือ การหาเงินให้รัฐบาลให้ครบในระดับต้นทุนที่เหมาะสม และต้องมีการกระจายความเสี่ยง ไม่อยู่ในเครื่องมือใดเครื่องมือหนึ่ง หรือช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งมากเกินไป และที่สำคัญคือ จะไม่ไปแย่งเงินกับเอกชน เพราะรัฐบาลกู้เยอะมาก หากเอกชนไม่มีเงินไปลงทุนต่อตรงนี้จะเป็นเรื่องใหญ่ สบน.ดูเรื่องทั้งหมดนี้อย่างละเอียด" นางแพตริเซีย กล่าว
ผู้อำนวยการ สบน. ระบุว่า หากพิจารณาจากแนวโน้มการก่อหนี้ของทุกประเทศทั่วโลก ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จะพบว่าทุกประเทศมีการกู้เงินเพิ่มขึ้นเยอะมาก ดังนั้นระดับหนี้สาธารณะทั่วโลกจึงมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศในภูมิภาคเอเชีย ระดับหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเป็น 67% ต่อจีดีพี จากปีก่อนๆ อยู่ที่ 60% ต่อจีดีพี ขณะที่ประเทศไทยมีการประเมินว่า ณ สิ้นปีงบประมาณ 2564 ระดับหนี้สาธารณะจะอยู่ที่ 56% ต่อจีดีพี ยังไม่ถึง 60% ต่อจีดีพี
พร้อมยืนยันว่า ประเทศไทยยังมีศักยภาพการชำระหนี้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยทุกปีสำนักงบประมาณจะมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระดอกเบี้ย ซึ่งปัจจุบันไทยเป็นประเทศที่มีเครดิตดี ทุกคนยังให้ไทยกู้เงินได้ และไทยก็มีช่องทางที่จะเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่การจัดอันดับความน่าเชื่อถือใน 2 ครั้งที่ผ่านมาไม่ถูกปรับลดเครดิต
"อาจจะมีการปรับมุมมอง จากที่เคยเป็นบวก มาอยู่ที่คงที่ เนื่องจากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือส่วนใหญ่มองว่าไทยบริหารจัดการด้านการคลังได้ดีและแข็งแกร่ง เพราะรัฐบาลบริหารอย่างรอบคอบและมีวินัยมากๆ และรัฐบาลก่อหนี้สาธารณะอย่างอนุรักษนิยม รอบคอบ และมีวินัยมากๆ ไม่ได้ปั๊มเงิน และจะไม่ทำ" นางแพตริเซีย ระบุ