เอแอลทีโชว์แกร่งผลงานงวดปี 2563 กวาดกำไรสุทธิ 269.69 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 315% วางเป้าปีนี้เร่งขยายฐานลูกค้าทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมทั้งแสวงหาพันธมิตรเพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ฐานะการเงินแข็งแกร่งพร้อมรองรับการเติบโต
นายสมบุญ เศรษฐ์สันติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทงวดปี 2563 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม มีรายได้รวม 1,557.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2562 ที่มีรายได้รวม 1,001.18 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 269.69 ล้านบาท เทียบกับปี 2562 ที่มียอดขาดทุนสุทธิ 125.30 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตของกำไร 315.2%โดย ณ สิ้นปี 2563 บริษัทมีงานในมือ (Backlog) จำนวน 1,184 ล้านบาท
สาเหตุที่รายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากมาจากรายได้การให้บริการเพิ่มขึ้น 134.1% จาก 491.72 ล้านบาท เป็น 1,151.26 ล้านบาท รายการหลักที่เพิ่มขึ้นคือรายได้จากโครงการ Smart Grid รวมทั้งรายได้จากการให้บริการโครงข่ายเพิ่มขึ้น 51.5% จาก 154.69 ล้านบาท เป็น 234.42 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน มีรายได้อื่น 535.41 ล้านบาท โดยรายการหลัก ได้แก่ เงินชดเชยจากการชนะคดี 412.53 ล้านบาท และกำไรจากการจำหน่ายทรัพย์สิน 89.28 ล้านบาท
นายสมบุญ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำเพียง 0.75 เท่า ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่ำกว่าศูนย์ เนื่องจากบริษัทมียอดรวมของเงินสด เงินลงทุนระยะสั้น และเงินฝากเพื่อการค้าประกันสูงกว่ายอดหนี้เงินกู้ ทำให้บริษัทมีกำลังเงินทุนรองรับการขยายธุรกิจในปี2564 ได้อย่างเต็มที่
“ปี 2563 เป็นปีแห่งการปรับโครงสร้างองค์กร ปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับสภาวะธุรกิจและสถานะเงินทุนของกิจการ เตรียมตัวให้พร้อมต่อการเติบโตในอนาคต ควบคู่กับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจด้วยการผนึกกำลังกับพันธมิตรที่ช่วยต่อยอดและขยายฐานธุรกิจให้สอดคล้องกับโอกาสการพัฒนาด้านเทคโนโลยี เพื่อรองรับการพัฒนาไปสู่เมืองอัจฉริยะและสังคมออนไลน์ รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่พึ่งพิงและเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีมากขึ้น”
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2564 นั้น นายสมบุญ กล่าวว่า บริษัทจะเร่งการใช้ประโยชน์จากโครงข่ายที่ได้ลงทุน ด้วยการ ขยายฐานลูกค้าภายในประเทศ ให้เชื่อมโยงไปสู่กิจการไฟฟ้าด้วยการร่วมทุนกับบริษัท ราช กรุ๊ป (RATCH ) จัดตั้งบริษัทร่วมทุน สมาร์ทอินฟราเนท จำกัด
ขณะเดียวกัน บริษัทเข้าซื้อกิจการผู้ผลิตสมาร์ทมิเตอร์ โดยซื้อหุ้นบริษัท เอ็นเนอร์จี แม็คซ์ จำกัด (EMAX) และเพิ่มทุนจดทะเบียนในบริษัท EMAX เป็น 292.18 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตของโครงการ Smart Grid ในอนาคต
นอกจากนี้ ยังเร่งเสริมมูลค่าโครงข่ายด้วย Platform ในโครงการ Fiber Space เป็นการบูรณการโครงข่ายของบริษัททุกโครงการเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ รวมถึงขยายโอกาสทางธุรกิจด้วยการขยายบริการไปถึงโครงข่ายของพันธมิตร เช่น โครงข่ายของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต
นายสมบุญ กล่าวอีกว่า บริษัทตั้งเป้าหมายขยายฐานรายได้ด้วยการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่มีอยู่ในกลุ่มร่วมส่งเสริมให้ประเทศไทยพัฒนาไปสู่ Asean Digital Hub ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงแสวงหาพันธมิตรเพื่อเสริมสร้างโอกาสทางธุรกิจและความแข่งแกร่งทางการเงินให้สามารถรองรับการขยายตัวในอนาคต