ผู้บริหาร DRT มองปี 64 ในมุมมองเชิงบวก รับแนวโน้มตลาดฟื้นตัว และเริ่มเดินเครื่องจักรไลน์การผลิตใหม่ หนุนทั้งปีเติบโต 5% เผยปีที่ผ่านมา ทำรายได้รวม 4,409 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ (รวมรายการพิเศษ) 557 ล้านบาท จากจุดแข็งธุรกิจที่มีสินค้าและช่องทางจำหน่ายที่หลากหลาย รับมือโควิด-19 ฉุดความเชื่อมั่นผู้บริโภค กระทบเศรษฐกิจชะลอตัวอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ
นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจในปี 2564 ว่า ตั้งเป้าหมายการเติบโต 5% หลังเริ่มเดินเครื่องจักร NT-11 เชิงพาณิชย์อีก 55,000 ตัน ที่เข้ามาช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในไลน์การผลิตสินค้าทดแทนไม้ และการบริหารจัดการด้านต้นทุน รวมถึงขีดความสามารถด้านการแข่งขันที่ดีขึ้น โดยไลน์การผลิตดังกล่าว DRT สามารถผลิตสินค้าที่มีความหลากหลายด้านขนาดผลิตภัณฑ์ ตอบสนองความผู้บริโภค รวมถึงเพิ่มโอกาสการขายสินค้าในจังหวะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้กลับมาฟื้นตัวดีขึ้น
สำหรับภาพรวมการดำเนินงานในปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้รวม 4,409 ล้านบาท ชะลอตัวลงจากปัจจัยลบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและเศรษฐกิจของประเทศชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ด้วยจุดแข็งการดำเนินธุรกิจของ DRT ที่มีผลิตภัณฑ์และช่องทางการจัดจำหน่ายหลากหลายทำให้สามารถบริหารความเสี่ยงและปรับตัวให้สอดรับภาวะอุตสาหกรรม และพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง โดยช่องทางจำหน่ายหลัก ได้แก่ ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายรายย่อย ทำสัดส่วนการขายเพิ่มขึ้นเป็น 57% จากเดิมอยู่ที่ 50% ของยอดขายรวม
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังประสบความสำเร็จกับการบริหาร Product Mix ที่สามารถผลักดันอัตราการทำกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 29.05% สูงกว่าเกณ์เฉลี่ยเดิมที่วางไว้ 25-27% เป็นผลให้มีกำไรก่อนหักค่าใช้จ่าย ดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) อยู่ที่ 950 ล้านบาท และมีกำไรจากการดำเนินงาน (ไม่รวมรายการพิเศษที่เกิดจากการขายที่ดินที่ไม่ใช้ประโยชน์) อยู่ที่ 547 ล้านบาท โดยหากรวมกำไรพิเศษจะมีกำไรสุทธิทั้งปี 557 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายสาธิต กล่าวว่า บริษัทฯ เดินหน้าตอกย้ำ DRT เป็นหุ้นปันผลที่สร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 ได้อนุมัติจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีหลัง 2563 (กรกฎาคม-ธันวาคม 2563) ในอัตรา 0.22 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 9 มีนาคม 2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ และหากรวมกับการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีแรก 2563 (มกราคม-มิถุนายน 2563) ในอัตรา 0.20 บาทต่อหุ้น บริษัทฯ จะจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นจากผลการดำเนินงานในปี 2563 ในอัตรารวม 0.42 บาทต่อหุ้นซึ่งถือเป็นการจ่ายเงินปันผลสูงสุดในรอบ 5 ปี