ปตท.กางผลประกอบการปี 63 กำไรสุทธิ 3.77 หมื่นล้านบาท ลดลงร้อยละ 59.4 จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 9.29 หมื่นล้านบาท ผลพวงรายได้ของทุกกลุ่มธุรกิจปรับลดลง เว้นกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีและวิศวกรรม ด้านบอร์ดฯอนุมัติจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งหลังปี 63
วานนี้ (18 ก.พ.) นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในปี 2563 บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 37,765.80 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 59.4 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 92,950.60 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 1.32 บาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของก่อนที่มีกำไรสุทธิต่อหุ้น 3.20 บาท ทั้งนี้ในปี 2563 ปตท. และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขาย 1,615,665 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 จำนวน 604,074 ล้านบาท หรือร้อยละ 27.2 จากเกือบทุกกลุ่มธุรกิจ ตามราคาขายเฉลี่ยและปริมาณขายเฉลี่ยที่ลดลง ยกเว้นกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีและวิศวกรรมมีรายได้จากการขายเพิ่มข้ึนเนื่องจากการเข้าซื้อ บริษัท โกลว์พลังงาน จำกัด (มหาชน)(GLOW) โดย บริษัท โกลบอลเพาเวอร์ซินเนอร์ยี จำกัด (มหาชน) (GPSC) ในช่วงปลายไตรมาส1ปี 2562
นายอรรถพล กล่าวต่อว่า ในปี 2563 ปตท. และบริษัทย่อยมี EBITDA จำนวน 225,672 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 21.9 สาเหตุหลักจากธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมท่ีผลการดาเนินงาน ปรับลดลงตามราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง แม้ปริมาณขายจะเพิ่มข้ึนจากโครงการมาเลเซียและกลุ่ม Partex กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและ การกลั่นท่ีลดลงอย่างมากเช่นกันโดยหลักจากขาดทุนสต๊อกน้ำมันในปี 2563 ประมาณ 19,000 ล้านบาท เรื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับลดลงจากสิ้นปี 2562 ที่ 67.3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยูท่ี 51.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ณ สิ้นปี 2563 รวมทั้งความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปและปิโตรเคมีชะลอตัวลงจากภาวะเศรษฐกิจเนื่องจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ขณะที่ปี 2562 มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันประมาณ 2,800 ล้านบาท โดย Market GRM ปรับลดลง จาก 2.7 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในปี 2562 เป็น 0.8 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในปี 2563
นอกจากน้ี กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานลดลงโดยหลักจากธุรกิจโรงแยกก๊าซเนื่องจากราคาขายที่ลดลงตามราคาปิโตรเคมีและปริมาณขายที่ลดลงจากผลกระทบโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานของกลุ่มเทคโนโลยีและวิศวกรรมปรับตัวดีข้ึนจากการเข้าซื้อ GLOW ของ GPSC ในช่วงปลายไตรมาส 1 ปี2562
“ที่ประชุมคณะกรรมการ PTT ในวันนี้ (18 ก.พ.) ได้กำหนดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 9 เม.ย.นี้ เพื่ออนุมัติการจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งปีหลัง 2563 ที่ 0.82 บาทต่อหุ้น และกำหนดวันจ่ายปันผล 30 เม.ย.นี้” นายอรรถพล ระบุ
นายอรรถพล กล่าวอีกว่า สำหรับแนวโน้มในปี 2564 คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะเฉลี่ยอยู่ที่ 55 - 60 เหรียญสหรัฐฯต่อตันและค่าการกลั่นอ้างอิงสิงคโปร์คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5-2.50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนแนวโน้มราคาผลิตภัณฑ์กลุ่มโอเลฟินส์ในปี 2564 แนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นคาดว่าราคาผลิตภัณฑ์พลาสติก HDPE และ PP จะเฉลี่ยที่ 950 -1,000 เหรียญสหรัฐฯต่อตันและ 1,100 -1,150 เหรียญสหรัฐฯต่อตันตามลำดับจากความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
“ผมเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2564 นี้ จะกลับมาฟื้นตัวภายใต้ 3 เงื่อนไข คือไม่เร็ว ยังต้องใช้เวลากว่าจะกลับมาฟื้นตัวเท่ากับปี 2562, ไม่ทั่วถึง เพราะการฟื้นตัวในแต่ละภาคธุรกิจ จะไม่เท่ากัน และยังมีความไม่แน่นอน จากสถานการณ์การควบคุมโรคและวัคซีนป้องกัน โควิด-19 โดย PTT พร้อมร่วมขับเคลื่อนด้วยการสร้างความเข้มแข็งด้านพลังงาน ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยให้เติบโตไปด้วยกัน ตามกรอบแนวคิด Powering Thailand’s Transformation” นายอรรถพล กล่าว
วานนี้ (18 ก.พ.) นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในปี 2563 บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 37,765.80 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 59.4 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 92,950.60 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 1.32 บาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของก่อนที่มีกำไรสุทธิต่อหุ้น 3.20 บาท ทั้งนี้ในปี 2563 ปตท. และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขาย 1,615,665 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 จำนวน 604,074 ล้านบาท หรือร้อยละ 27.2 จากเกือบทุกกลุ่มธุรกิจ ตามราคาขายเฉลี่ยและปริมาณขายเฉลี่ยที่ลดลง ยกเว้นกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีและวิศวกรรมมีรายได้จากการขายเพิ่มข้ึนเนื่องจากการเข้าซื้อ บริษัท โกลว์พลังงาน จำกัด (มหาชน)(GLOW) โดย บริษัท โกลบอลเพาเวอร์ซินเนอร์ยี จำกัด (มหาชน) (GPSC) ในช่วงปลายไตรมาส1ปี 2562
นายอรรถพล กล่าวต่อว่า ในปี 2563 ปตท. และบริษัทย่อยมี EBITDA จำนวน 225,672 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 21.9 สาเหตุหลักจากธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมท่ีผลการดาเนินงาน ปรับลดลงตามราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง แม้ปริมาณขายจะเพิ่มข้ึนจากโครงการมาเลเซียและกลุ่ม Partex กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและ การกลั่นท่ีลดลงอย่างมากเช่นกันโดยหลักจากขาดทุนสต๊อกน้ำมันในปี 2563 ประมาณ 19,000 ล้านบาท เรื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับลดลงจากสิ้นปี 2562 ที่ 67.3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยูท่ี 51.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ณ สิ้นปี 2563 รวมทั้งความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปและปิโตรเคมีชะลอตัวลงจากภาวะเศรษฐกิจเนื่องจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ขณะที่ปี 2562 มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันประมาณ 2,800 ล้านบาท โดย Market GRM ปรับลดลง จาก 2.7 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในปี 2562 เป็น 0.8 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในปี 2563
นอกจากน้ี กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานลดลงโดยหลักจากธุรกิจโรงแยกก๊าซเนื่องจากราคาขายที่ลดลงตามราคาปิโตรเคมีและปริมาณขายที่ลดลงจากผลกระทบโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานของกลุ่มเทคโนโลยีและวิศวกรรมปรับตัวดีข้ึนจากการเข้าซื้อ GLOW ของ GPSC ในช่วงปลายไตรมาส 1 ปี2562
“ที่ประชุมคณะกรรมการ PTT ในวันนี้ (18 ก.พ.) ได้กำหนดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 9 เม.ย.นี้ เพื่ออนุมัติการจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งปีหลัง 2563 ที่ 0.82 บาทต่อหุ้น และกำหนดวันจ่ายปันผล 30 เม.ย.นี้” นายอรรถพล ระบุ
นายอรรถพล กล่าวอีกว่า สำหรับแนวโน้มในปี 2564 คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะเฉลี่ยอยู่ที่ 55 - 60 เหรียญสหรัฐฯต่อตันและค่าการกลั่นอ้างอิงสิงคโปร์คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5-2.50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนแนวโน้มราคาผลิตภัณฑ์กลุ่มโอเลฟินส์ในปี 2564 แนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นคาดว่าราคาผลิตภัณฑ์พลาสติก HDPE และ PP จะเฉลี่ยที่ 950 -1,000 เหรียญสหรัฐฯต่อตันและ 1,100 -1,150 เหรียญสหรัฐฯต่อตันตามลำดับจากความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
“ผมเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2564 นี้ จะกลับมาฟื้นตัวภายใต้ 3 เงื่อนไข คือไม่เร็ว ยังต้องใช้เวลากว่าจะกลับมาฟื้นตัวเท่ากับปี 2562, ไม่ทั่วถึง เพราะการฟื้นตัวในแต่ละภาคธุรกิจ จะไม่เท่ากัน และยังมีความไม่แน่นอน จากสถานการณ์การควบคุมโรคและวัคซีนป้องกัน โควิด-19 โดย PTT พร้อมร่วมขับเคลื่อนด้วยการสร้างความเข้มแข็งด้านพลังงาน ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยให้เติบโตไปด้วยกัน ตามกรอบแนวคิด Powering Thailand’s Transformation” นายอรรถพล กล่าว
