LPN เผยกำไรปี 63 ลดเหลือ 716.34 ล้านบาท วูบเมื่อเทียบปี 62 หลังโควิด-19 ฉุดรายได้และยอดขายหด ประกาศปรับแผนเผชิญวิกฤต ทั้งปรับเป้ายอดขาย รายได้ให้สอดคล้องภาวะวิกฤต วางแผนการตลาดกระตุ้นกำลังซื้อ ตลอดจนลดค่าใช้จ่าย เสริมสภาพคล่อง บริหารจัดการให้มีกระแสเงินสดรองรับกับการดำเนินธุรกิจได้ไม่น้อยกว่า 6 เดือน และชะลอแผนการก่อสร้างบางโครงการ อย่างไรก็ดี ยังปันผลงวดครึ่งหลังปี 63 อีก 0.40 บาท/หุ้น ขึ้น XD 24 ก.พ.นี้
บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN รายงานผลดำเนินงานปี 63 มีกำไรสุทธิ 716.34 ล้านบาท ลดลง 42.97% จากปี 62 ที่มีกำไรสุทธิ 1,256 ล้านบาท โดยอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายอยู่ที่ 28.62% ลดลงจากปี 62 ที่ 31.70%
แจงรายได้หดตัวจากสถานการณ์โควิด-19
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ LPN ระบุว่า บริษัทมีรายได้จากการขายที่ลดลง 31.16% มาอยู่ที่ 6,001 ล้านบาท อันเนื่องมาจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ต่อเนื่องจากต้นปี 63 ส่วนรายได้จากธุรกิจเช่า บริการเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 30.16% มาอยู่ที่ 225.19 ล้านบาท เกิดจากรายได้จากการเช่าของโครงการลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต คลอง 1 (เฟส 3) เพิ่มขึ้น และรายได้ค่าบริหารเพิ่มขึ้น 6.82% อยู่ที่ 1,136.8 ล้านบาท เกิดจากการบริหารงานโครงการภายนอกที่เพิ่มขึ้น
ในปี 63 มียอดขายรวม 10,400 ล้านบาท โดยมีการเปิดโครงการใหม่รวม 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 8,500 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการอาคารชุดพักอาศัย 5 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 5,500 ล้านบาท และโครงการบ้านพักอาศัย 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 3,000 ล้านบาท มีโครงการแล้วเสร็จ จำนวน 9 โครงการ เป็นอาคารชุดพักอาศัย 4 โครงการ และบ้านพักอาศัย 5 โครงการ และมี backlog รวม 2,200 ล้านบาท ทยอยส่งมอบในปี 64-65
บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารรวม 1,391.24 ล้านบาท ลดลงตามรายได้จากการขายที่ลดลง
ทำแผนเผชิญวิกฤต ทั้งปรับเป้ายอดขาย-รายได้
นายโอภาส กล่าวว่า ปี 63 เป็นช่วงกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศส่วนใหญ่หยุดชะงัก ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการระบาดของโควิด-19 ซึ่งบริษัทได้มีปรับแนวทางการดำเนินงานเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ดังกล่าว จัดทำแผนเผชิญวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นการปรับเป้ายอดขาย รายได้ให้สอดคล้องกับสภาวะวิกฤต แผนทางการตลาดเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อและวางกลยุทธ์การขายผ่านช่องทางออนไลน์ในการเพิ่มยอดขาย
รวมถึงการปรับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ แผนลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ประจำจากห้องชุดที่ขายเป็นห้องชุดเพื่อเช่า อีกทั้งแผนเสริมสภาพคล่อง ปรับตัวและทบทวนในด้านต่างๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ซึ่งแผนดังกล่าวข้างต้นได้ผลที่ดีกว่าเป้าหมายที่วางไว้
"ปี 2563 เศรษฐกิจของประเทศส่วนใหญ่หยุดชะงัก คณะกรรมการบริษัท และคณะผู้บริหารของบริษัทได้ทำปรับแผนทั้งปรับเป้ายอดขาย รายได้ให้สอดคล้อง รวมทั้งปรับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ เพิ่มกลุ่มเป้าหมายนักลงทุนรายใหญ่ รวมทั้งยังมีแผนเสริมสภาพคล่อง โดยบริหารจัดการให้มีกระแสเงินสดสามารถรองรับกับการดำเนินธุรกิจได้ไม่น้อยกว่า 6 เดือน ลดภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ชะลอแผนการก่อสร้างบางโครงการเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการก่อสร้างบางส่วน" นายโอภาส กล่าว
อย่างไรก็ดี ยังคงเร่งก่อสร้างโครงการที่มียอดซื้อเพื่อให้โครงการแล้วเสร็จ และส่งมอบให้แก่ลูกค้าได้ตามเวลา รวมถึงบริษัทยังมีการปรับตัวและทบทวนในด้านต่างๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ดังกล่าว และได้มีแนวทางการดำเนินงานไปจนถึงชุมชนและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแผนดังกล่าวข้างต้นได้ผลที่ดีกว่าเป้าหมายที่วางไว้ อีกทั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังได้บรรจุให้บริษัทเป็น Showcase ในปี 2563 เรื่องการรับมือสถานการณ์โควิด-19 ได้ดีอีกด้วย โดยบริษัทยังประสบความสำเร็จเกี่ยวกับ Segment กลุ่มบ้านพักอาศัย ทำให้มียอดขาย New high ในรอบ 5 ปี
เดินหน้าปันผลปี 63 หุ้นละ 1.40 บาท
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการยังอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากผลดำเนินงานปี 63 อัตราหุ้นละ 1.40 บาท ซึ่งบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 1.00 บาท ในวันที่19 มิ.ย.63 ดังนั้น ส่วนที่เหลือจะจ่ายในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 24 ก.พ.64 และกำหนดจ่ายวันที่ 8 เม.ย.64