"ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR)" ดีเดย์นำหุ้นเข้าเทรดวันนี้ (11 ก.พ.) วันแรก คาดกระแสตอบรับคึกคัก หลังนักลงทุนแห่จองล้นหลามกว่า 5 แสนราย แถมเข้าคำนวณดัชนี SET50 ทันที ขณะที่โบรกฯ ให้ราคาเหมาะสม 22-24 บาท/หุ้น มองกำไรปี 64-67 เติบโตต่อเนื่อง จากระดับ 1.2 หมื่นลบ. สู่ระดับ 1.6 หมื่นลบ. แถมมีลุ้นรับปันผลหุ้นละ 0.80 บาท/หุ้น หรือมีผลตอบแทน 4.2%
OR เข้าเทรดวันแรก ด้วยมาร์เกตแคป 2.08 แสนลบ.
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลท.รับหลักทรัพย์บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (SET) วันแรกในวันนี้ (11 ก.พ.) ในกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร หมวดธุรกิจ พลังงานและสาธารณูปโภค
OR เป็นบริษัทแกนนำ (Flagship) ของกลุ่มปตท. ในการดำเนินธุรกิจน้ำมันและธุรกิจค้าปลีกทั้งในและต่างประเทศ ผ่านสถานีบริการน้ำมัน PTT Station กว่า 1,900 แห่งทั่วประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย.63) ด้วยส่วนแบ่งการตลาดถึง 38.9% เมื่อพิจารณาจากปริมาณการขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของสถานีบริการในประเทศไทย (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค.62 โดย Wood Mackenzie)
นอกจากนี้ ยังดำเนินธุรกิจร้านกาแฟ Cafe Amazon ที่มีจำนวนสาขามากที่สุดในประเทศไทยกว่า 3,100 สาขา (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย.63) และยังเป็นแบรนด์ร้านกาแฟที่มีจำนวนสาขามากเป็นอันดับ 6 ของโลก (ข้อมูล ณ วันที่ 31ธ.ค.62 โดย Euromonitor) รวมถึงได้รับสิทธิอนุญาตแต่ผู้เดียวในประเทศไทยในการดำเนินธุรกิจร้านค้าภายใต้แบรนด์ “เท็กซัส ชิคเก้น” (Texas Chicken) และได้รับสิทธิมาสเตอร์แฟรนไชส์ของธุรกิจอาหารแบรนด์ “ฮั่วเซ่งฮงติ่มซำ” (Hua Seng Hong Dim Sum) รวมทั้งยังมีพันธมิตรธุรกิจทั้งแบรนด์ระดับโลกและแบรนด์ไทยชั้นนำอีกมากมาย โดยก่อนหน้านี้ บริษัทเสนอขายหุ้นไอพีโอ จำนวน 2,610,000,000 หุ้น จัดสรรให้แก่ประชาชนทั่วไป 2,310,000,166 หุ้น ผู้ถือหุ้นเดิมของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จำนวน 299,999,834 หุ้น โดยกำหนดราคาไอพีโอที่ 18 บาท/หุ้น โดยในวันแรกของการเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ OR จะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 116,100 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคาไอพีโอ 208,980 ล้านบาท
ทั้งนี้ OR จะมีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT มีสัดส่วนการถือหุ้นจำนวนไม่ต่ำกว่า 75% ของทุนชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ มีนโยบายจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิ
โบรกฯ ให้ราคาเหมาะสมปี 64 ที่ 24 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยคาด OR ปี 64 จะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท เติบโต 41.2% เมื่อเทียบปี 63 ขณะที่ภาพระยะยาวตั้งแต่ปี 64-67 คาด OR จะมีกำไรเติบโตเฉลี่ย CAGR ที่ 16.7% ต่อปี โดยใช้ปี 63 เป็นปีฐาน จากการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัว และการเดินทางทั้งในประเทศและต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์ โดยปี 65 คาด OR จะมีกำไรเติบโต 16.7% มาอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท ปี 66 กำไรโต 5.8% มาอยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท และปี 67 กำไรโต 6.4% มาอยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยกำหนดสมมติฐานให้มีการเปิดสถานีบริการน้ำมัน 108 แห่งต่อปี และเปิดสาขาคาเฟ่อเมซอน เพิ่ม 418 สาขาต่อปี ตามเป้าหมายหลักของ OR ในขณะที่กลุ่มธุกิจต่างประเทศ มีการเปิดสถานีบริการน้ำมันปีละ 35-36 แห่ง และขยายสาขาคาเฟ่อเมซอนปีละ 35-36 สาขา กำหนด Fair Value หุ้น OR ปี 64 เท่ากับ 24 บาท ค่า PER เท่ากับ 25.7 เท่า ขณะที่คาดจะจ่ายปันผลสูงถึง 0.8 บาท/หุ้น หรือคิดเป็น Dividend yield ราว 4.2% ภายใต้สมมติฐานราคาหุ้นละ18 บาท
บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มองราคาเป้าหมาย 19.30-23.10 บ.
บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เปิดเผยว่า OR เป็น Flagship ของกลุ่ม ปตท. ในธุรกิจน้ำมันและธุรกิจค้าปลีก โดยยอดขายน้ำมันของ OR เติบโตสม่ำเสมอ +2.3%CAGR และรักษาตำแหน่งผู้นำด้วยส่วนแบ่งตลาดราว 39-42% ไว้ได้ต่อเนื่องแต่ทิศทางกำไรค่อนข้างผันผวน แม้ปริมาณขายน้ำมัน+ธุรกิจ Non-Oil จะเติบโตดี แต่หากดูกำไร (ในรูป EBITDA) จะพบว่าค่อนข้างผันผวนในช่วง 1.2-2.4 หมื่นล้านบาท/ปี ซึ่งขึ้นกับสถานการณ์การแข่งขันและสภาพแวดล้อมในแต่ละปี โดยเฉพาะปัจจัยเรื่องค่าการตลาด และกำไร (ขาดทุน) จากสต๊อกน้ำมันจากความ ผันผวนของราคาน้ำมันดิบ ซึ่งมีน้ำหนักต่อกำไรมากกว่าปริมาณขายที่เติบโต
นอกจากนี้ มองว่า OR ยังถือครองสินทรัพย์และเงินลงทุนที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ 1.การถือครองที่ดิน (กรรมสิทธิ์) ใน ptt station 135 แห่ง กว่า 1,000 ไร่ ราคาทุน 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งมองว่าราคาตลาดน่าจะสูงกว่านั้นมาก เพราะถือครองมานานและมีศักยภาพการพัฒนาพื้นที่ในอนาคต 2.ถือหุ้น 7.1% มูลค่า 922 ล้านบาทใน BAFS ซึ่งคาดมูลค่าจะเพิ่มขึ้นหากการเดินทางด้วยอากาศยานกลับมาปกติ 3.ถือหุ้น 40.5% มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาทใน บจ.ท่อส่งปิโตรเลียมไทย (THAPPLINE) ซึ่งสร้างส่วนแบ่งกำไรสม่ำเสมอมาโดยตลอด และ 4.ถือหุ้น 9.6% มูลค่า 1.2 พันลบ. ใน Flash Express ซึ่งให้บริการธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โดยมีจุดรับส่งพัสดุมากกว่า 2,500 แห่ง ซึ่งยอดส่งพัสดุในปี 63 เติบโตกว่า 4000% และมีโอกาสเติบโตยิ่งขึ้นตามเทรนด์การซื้อของออนไลน์
คาดปีนี้มีกำไร 1.1 หมื่นลบ.
คาดกำไรปี 64 จะอยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท หรือ EPS 0.92 บาท (Fully Diluted) ซึ่งกลับมาเติบโตสูงจากฐานต่ำ ภายใต้สมมติฐานว่ากำไรของธุรกิจน้ำมันกลับมา 90% ของปีปกติ ไม่มีรายการพิเศษ และกำไรของธุรกิจ Non-Oil เติบโต 15% จากปีก่อน แนะนำ ซื้อ ด้วยราคาเป้าหมาย 19.30-23.10 บาท