“ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก” พร้อมแล้วในการเสนอขายหุ้น IPO เปิดจองซื้อตั้งแต่ 24 ม.ค.-2 ก.พ. 64 ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ เปิดโอกาสให้คนไทยเข้าร่วมเป็นเจ้าของอย่างทั่วถึง พร้อมวางเป้าหมายการลงทุน 5 ปีนี้ 7.46 หมื่นล้านบาท เน้นลงทุนธุรกิจ Non-Oil และต่างประเทศ โดยกันเงินลงทุนราว 15% หรือราว 1.2 หมื่นล้านบาทใส่ธุรกิจใหม่ ลุยร่วมลงทุนและซื้อกิจการ (M&A) รวมถึง Mobility Ecosystem และ Life Style Ecosystem
บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดจองเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ตั้งแต่วันที่ 24 ม.ค.-2 ก.พ. 2564 ที่ช่วงราคาเสนอขาย 16.00-18.00 บาทต่อหุ้น นับเป็นการเปิดจองซื้อหุ้น IPO ที่นานที่สุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนคนไทยเข้ามาเป็นเจ้าของอย่างทั่วถึงโดยจัดสรรแบบวิธี Small Lot First
นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ รักษาการแทนประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR นำเสนอข้อมูลการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) วานนี้ (20 ม.ค.) ว่า เชื่อมั่นการเสนอขายหุ้น IPO และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงเวลานี้เป็นจังหวะเวลาอันเหมาะสม และมั่นใจว่านักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนรายย่อยจะให้ความสนใจจองหุ้น OR จำนวนมาก คาดว่าจะเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้นกุมภาพันธ์นี้ โดยการขายหุ้น IPO จะได้เงินราว 4.32 -5.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งวงเงินที่ได้จากการระดมทุนนั้นจะนำมาใช้ลงทุนขยายธุรกิจใน 3 ธุรกิจหลัก ทั้งธุรกิจน้ำมัน เพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ต่อเนื่องจากปัจจุบันมีมาร์เกตแชร์ 40% ธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการ (Non- Oil) และธุรกิจต่างประเทศ
นายพิจินต์ อภิวันทนาพร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริหารการเงิน OR กล่าวว่า บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนในช่วง 5 ปีนี้ (2564-68) อยู่ที่ 74,600 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในธุรกิจน้ำมัน 34.6% ธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่นๆ (Non-Oil) 28.6% ธุรกิจต่างประเทศ 21.8% และธุรกิจอื่นๆ 15% ซึ่งจะเป็นการร่วมลงทุน (JV) กับพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ การเข้าซื้อกิจการ (M&A) รองรับธุรกิจในอนาคต
โดยนับจากนี้ OR ให้ความสำคัญในการลงทุนธุรกิจ Non-Oil และต่างประเทศ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต และมีมาร์จิ้นดี
ส่วนกลยุทธ์การเติบโตในด้านตลาดค้าปลีก บริษัทมีแผนขยายสถานีบริการน้ำมัน PTT Station ปีละ 108 สาขา ให้เป็น 2,500 แห่งในปี 2568 จากปัจจุบัน 1,968 แห่ง รวมทั้งเพิ่มสถานี EV Charging ในปั๊มเพิ่มเติมจากปัจจุบันมีอยู่ 25 แห่งรองรับรถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งขยายร้านคาเฟ่อเมซอน เพิ่มอีก 2,100 สาขา เน้นรูปแบบแฟรนไชส์ กว่า 60% จะอยู่นอกปั๊ม (Stand Alone) ลงทุนโรงงานผลิตเบเกอรี โรงงานผงผสมเครื่องดื่ม ขยายร้าน Texas Chicken อีกกว่า 20 สาขา/ปี และขยายร้านสะดวกซื้อ ทั้งร้าน 7-11 และจิฟฟี่
นางสาวจิราพรกล่าวว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจากับ บมจ.ซีพีออลล์ เพื่อพิจารณารายละเอียดการต่อสัญญาร้าน 7-Eleven ที่ยังเหลืออีก 2 ปีกว่าจะครบสัญญาเดิม ในฐานะพันธมิตรที่เสริมซึ่งกันและกัน พร้อมทั้งยืนยันความโปร่งใสในการโอนทรัพย์สินจาก ปตท.มายัง OR ยันไม่มีการโอนทรัพย์สินที่เป็นส่วนสมบัติของแผ่นดินเข้ามายัง OR
ด้านธุรกิจต่างประเทศ มีแผนขยายสถานีบริการ PTT Station อีกกว่า 350 แห่ง จากปัจจุบัน 329 แห่ง พร้อมไปกับการขยายสาขาคาเฟ่ อะเมซอน อีกกว่า 310 สาขาจากปัจจุบัน 272 สาขา และขยายธุรกิจ LPG พร้อมคลังเก็บผลิตภัณฑ์ และธุรกิจผลิตภัณฑ์หล่อลื่น ที่จะมีการเจาะฐานลูกค้าใหม่ในเมียนมาและลงทุนคลังเก็บผลิตภัณฑ์
บริษัทยังจะมองหาร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ และมองโอกาสการลงทุนหรือซื้อกิจการ (M&A) เพื่อขยายธุรกิจใหม่ ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้เข้าไปร่วมลงทุน FLASH ธุรกิจอีคอมเมิร์ซครบวงจร, ร่วมลงทุน PEABERRY ในธุรกิจกาแฟครบวงจร ตั้งแต่เครื่องชงกาแฟ เมล็ดกาแฟ และร้านกาแฟแบรนด์ PACAMARA
ด้านนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า OR เสนอขายหุ้น IPO ราว 25% ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของปตท.ลดลงเหลือราว 75% เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของ ปตท. เพราะ OR สามารถระดมทุนเพื่อใช้ขยายงานส่งผลบวกต่อมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของ ปตท.เช่นกัน
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ราว 4-5 หมื่นล้านบาทนั้น จะนำไปใช้ขยายการลงทุนใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก รวมถึงธุรกิจใหม่ในอนาคต โดยมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย, ภาษี, ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของ Non-Oil และต่างประเทศ จะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่อยู่ราว 25% และ 6% ตามลำดับ ส่วนที่เหลืออีก 69% มาจากธุรกิจน้ำมัน
“OR วางแผนรุกต่างประเทศ เน้นขยายไปยังอาเซียนและจีนที่มีศักยภาพ โดยวางเป้า 5 ปีข้างหน้ามีสถานีบริการน้ำมันเป็นกว่า 600 แห่งจากกว่า 300 แห่งในปัจจุบัน และร้านกาแฟคาเฟ่อเมซอนเพิ่มเป็น 500-600 แห่งจากราว 270 แห่งในปัจจุบัน รวมถึงยังมองหาโอกาสใหม่จากการทำดีลร่วมทุน (JV) หรือซื้อกิจการ (M&A) รวมถึง Mobility Ecosystem และ Life Style Ecosystem เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคใหม่”
ทั้งนี้ OR เตรียมเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 2,610 ล้านหุ้น (ไม่รวมกรีนชู) และมีกรีนชูอีก 390 ล้านหุ้น โดยจัดสรรให้รายย่อย 596 ล้านหุ้น ผ่านการจองซื้อได้ที่ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย และกรุงไทย กำหนดช่วงราคาเสนอขาย IPO ที่ 16-18 บาท/หุ้น คิดเป็นมูลค่าการเสนอขาย 41,760-46,980 ล้านบาท (ไม่รวมกรีนชู) โดยระดมทุนเพื่อรองรับการใช้ในช่วงปี 2564-67 ขยายเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันภายใต้แบรนด์ "ptt station" ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ที่มีศักยภาพ, ขยายธุรกิจสำหรับการตลาดพาณิชย์ในกลุ่มธุรกิจน้ำมัน, การลงทุนคลังเก็บผลิตภัณฑ์และศูนย์กระจายสินค้าธุรกิจน้ำมัน, ขยายเครือข่ายร้านค้าปลีกให้สอดคล้องกับการเติบโตของอุปสงค์ในตลาด, การลงทุนในธุรกิจต่างประเทศ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ หรือใช้ชำระคืนเงินกู้ยืม