หลังจาก BITCOIN เงินสกุลดิจิทัลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกกลับมาคึกคัก ราคาพุ่งทะยานแตะระดับ 4.2 หมื่นดอลลาร์สหรัฐเมื่อต้นปี 2564 นักเก็งกำไรได้แห่เปิดบัญชีซื้อขายเงินดิจิทัลกันอย่างหนาตา จนบริษัทนายหน้าหรือบริษัทโบรกเกอร์ซื้อขายเงินสกุลดิจิทัลรับลูกค้าใหม่แทบไม่ทัน
ปัจจุบัน มีโบรกเกอร์ซื้อขายเงินดิจิทัลทั้งสิ้น 4 บริษัท โดยได้รับอนุมัติดำเนินธุรกิจจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และบริษัทนายหน้ายักษ์ใหญ่คือ บริษัท BITKUB ซึ่งมีเด็กหนุ่มวัยเพียง 31 ปี เป็นผู้บริหารและเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา เป็นผู้ก่อตั้ง BITKUB และจากโบรกเกอร์ซื้อขายเงินดิจิทัลเล็กๆ แต่ช่วงปลายปี 2562 เติบโตก้าวกระโดดจนกลายเป็นโบรกเกอร์ยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่ง เนื่องจากบริษัท BX.in.TH โบรกเกอร์ใหญ่ขณะนั้นปิดกิจการลง ทั้งที่ผลประกอบการมีกำไรปีละหลายร้อยล้านบาท
ผลในการปิดตัวของ BX.IN.TH เป็นเรื่องสลับซับซ้อน และไม่เป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณชน แต่การปิดตัวของโบรกเกอร์ซื้อขายเงินดิจิทัลยักษ์ใหญ่รายนี้ทำให้ BITKUB ได้รับอานิสงส์
เพราะลูกค้า BX.IN.TH ได้แห่มาเปิดบัญชีที่ BITKUB จนนายจิรายุส ต้องเพิ่มพนักงานเร่งด่วนเพื่อรองรับการให้บริการลูกค้า อย่างไรก็ตาม ในปี 2563 เมื่อราคา BITCOIN ทรุดลง ทำให้ BITKUB ซึมตามไปด้วย เพราะลูกค้าชะลอการซื้อขาย และมีลูกค้าหน้าใหม่มาเปิดบัญชีน้อยมาก
แต่ปลายปี 2563 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2564 ราคา BITCOIN ดีดแรงขึ้นมาอีก ทำให้นักเก็งกำไรหน้าใหม่แห่มาเปิดบัญชีซื้อขาย เช่นเดียวกับตอนหุ้นขึ้น นักลงทุนหน้าใหม่จะแห่มาเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นกันล้นหลาม
นายจิรายุส ตั้งเป้าว่า ในปี 2564 BITKUB จะเติบโต 1,000% แต่เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังปีใหม่ ลูกค้าหน้าใหม่เพิ่มขึ้นนับ 1,000% จนต้องเพิ่มพนักงานเฉพาะกิจเพื่อรับลูกค้า และต้องทำงานแทบทั้งวันทั้งคืนหลายสัปดาห์ติดต่อ
มูลค่าการซื้อขาย BITCOIN ผ่าน BITKUB เฉลี่ยประมาณวันละ 4,000 ล้านบาท โดยไม่รวมการซื้อขายเงินดิจิทัลสกุลอื่น เช่น ETHEREUM
ค่าธรรมเนียมหรือค่านายหน้าซื้อขายเงินดิจิทัลคิดในอัตรา 0.25% หรือร้อยละ 25 สตางค์ โดยคิดทั้งการซื้อหรือขาย ดังนั้น BITKUB จะมีรายได้จากค่าธรรมเนียมซื้อขาย BITCOIN ตกวันละประมาณ 10 ล้านบาท เป็นอย่างต่ำ ปีหนึ่งจะมีรายได้จากค่าธรรมเนียมซื้อขาย BITCOIN ประมาณ 3,600 ล้านบาท
การซื้อขาย BITCOIN ยิบย่อยยิ่งกว่าการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เสียอีก เพราะมีเงินระดับ 1,000 บาท ก็สามารถซื้อได้แล้ว โดยซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตลอด 365 วัน โดยไม่มีวันหยุด
ถ้าเทียบกับโบรกเกอร์ซื้อขายหุ้นที่มีอยู่ 37 ราย ถือว่า โบรกเกอร์ซื้อขายเงินดิจิทัลมีอนาคตที่สดใสกว่า มีโอกาสตักตวงผลกำไรได้มากกว่า
เพราะแม้มูลค่าซื้อขายในตลาดหุ้นปัจจุบันเฉลี่ยวันละเฉียด 1 แสนล้านบาท แต่เนื่องจากมีการแข่งขันด้านค่าธรรมเนียม โดยโบรกเกอร์หลายแห่งคิดค่าธรรมเนียมซื้อขายหุ้นในอัตราเพียง 0.05% หรือร้อยละ 5 สตางค์ ขณะที่บางแห่งคิดจากลูกค้ารายใหญ่เพียง 0.03% หรือต่ำกว่า
รายได้จากค่าธรรมเนียมซื้อขายหุ้นจึงไม่สูง ขณะที่บริษัทโบรกเกอร์มีต้นทุนด้านบุคลากรสูง ต้องลงทุนค่าใบอนุญาต ต้องลงทุนระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้บริษัทโบรกเกอร์ขนาดกลางและขนาดเล็กต้องประสบการขาดทุน โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดหุ้นซบเซา มูลค่าการซื้อขายหุ้นตกต่ำ
ส่วนโบรกเกอร์ขนาดใหญ่มีมูลค่าซื้อขายหุ้นสูงสุดอันดับต้นๆ แต่ทำกำไรได้เพียงปีละ 200-300 ล้านบาทเท่านั้น
แตกต่างจากโบรกเกอร์เงินดิจิทัล โดยเฉพาะบริษัท BITKUB ซึ่งปีนี้อาจโกยกำไรหลายพันล้านบาท จนบรรดาโบรกเกอร์ซื้อขายทองคำกระดาษ หรือโกลด์ ฟิวเจอร์ส และโบรกเกอร์ซื้อขายหุ้นทั้ง 37 รายต้องอิจฉากัน
ปีนี้ประเทศไทยจะมีมหาเศรษฐีหน้าใหม่เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 1 คนแน่ๆ เป็นมหาเศรษฐีหนุ่มชื่อ “จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” เจ้าของ BITKUB ที่ร่ำรวยจาก BITCOIN
และไม่ได้ร่ำรวยจากการซื้อขายเก็งกำไร แต่ร่ำรวยจากการเป็นนายหน้าให้นักเก็งกำไรที่หวังรวยจากการเล่น BITCOIN