รายงานข่าวแจ้งว่า บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL ได้รับข่าวดีต้นปี เมื่อได้รับความเชื่อมั่นจากกองทุนสิงคโปร์ด้านฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยออลล์อินสไปร์ฯ ได้เซ็นข้อเสนอเบื้องต้นกับทางกองทุนต่างประเทศ แอ็ดว๊านซ์ ออพเพอชุนนีตี้ ฟันด์ (Advance Opportunities Fund) ในรูปแบบของหุ้นกู้แปลงสภาพจำนวนรวม 1,000 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี โดยหุ้นกู้มีอายุ 3 ปี ไม่มีหลักประกันและไม่มีค่าปรับหากเบิกถอนหุ้นกู้แปลงสภาพไม่ครบตามจำนวน
สำหรับหุ้นกู้แปลงสภาพนั้นมีวัตถุประสงค์ในการรองรับการขยายกิจการ และเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสในการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของการควบรวมหรือการซื้อกิจการอื่นๆ หนุนให้ออลล์อินสไปร์ฯ เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและการต่อยอดธุรกิจ และเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในมือ
จากตารางข้างต้น จะเห็นได้ว่าบริษัทฯ มีผลประกอบการที่ดีขึ้นจากกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยและค่าเสื่อมราคาและภาษีที่สูงขึ้นจากปี 62 โดยกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยและค่าเสื่อมราคาและภาษี (EBITDA) 9 เดือนแรกของปี 63 ในอัตรา 29.70% เมื่อเทียบกับกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยและค่าเสื่อมราคาและภาษีในปี 62 ในอัตรา 25.53% เท่านั้น แต่เนื่องจากบริษัทฯ มีภาระดอกเบี้ยจ่ายในอัตราที่สูงถึง 8.98% ใน 9 เดือนแรกของปี 63 เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยจ่ายที่อัตรา 2.08% ในปี 62 ทำให้บริษัทฯ มีความต้องการที่จะเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำในอัตรา 2% ต่อปีจากกองทุนต่างประเทศดังกล่าวเพื่อลดภาระดอกเบี้ยจ่ายลงซี่งจะทำให้ผลกำไรของบริษัทในอนาคตปรับตัวขึ้นค่อนข้างแน่นอน
นายธนากร ธนวริทธิ์ ฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการบริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า“มีโอกาสอยู่ในวิกฤตทุกครั้งเสมอ”หากได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากทางกองทุนต่างประเทศในครั้งนี้ก็จะเพิ่มความมั่นใจให้แก่ทั้งบริษัทฯ ทีมงานบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ที่มองเห็นโอกาสในวิกฤตโควิด-19 ที่เห็นอสังหาริมทรัพย์ในทำเลใจกลางเมืองหลายแห่งที่ออกมาเสนอขายในราคาที่ไม่เคยเห็นมาก่อนและหากพ้นภาวะโควิด -19 ไปแล้วก็จะไม่สามารถหาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในราคาดังกล่าวได้อีก ซึ่งหากบริษัทฯ มีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีและมีเงินทุนที่จะสนับสนุนจากกองทุนต่างประเทศจำนวนมากก็จะทำให้บริษัทฯ สามารถทำกำไรในช่วงวิกฤตโควิด-19 ในครั้งนี้ได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ อีกด้วย
จากผลประกอบการใน9 เดือนแรกของปี 63 นี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ยังได้เล็งเห็นถึงการปรับฐานทุนของบริษัทฯ ให้เพิ่มขึ้นโดยการเสนอวาระการจ่ายปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในอัตรา 0.15 บาทต่อหุ้น โดย (1) จ่ายหุ้นปันผลในอัตรา 10 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นสามัญใหม่ซึ่งจะทำให้ฐานทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นจากทุนจดทะเบียนชำระแล้วจำนวน 560 ล้านหุ้น เพิ่มขึ้นเป็น 616 ล้านบาท และ (2) จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.05 บาทต่อหุ้น ซึ่งถือเป็นตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ตามวัตถุประสงค์ของบริษัทฯ ที่จะทำให้บริษัทฯ กลายเป็นหุ้นปันผลที่น่าสนใจอีกตัวหนึ่งของนักลงทุนประเภท Value Investor