แม้นักวิเคราะห์หลักทรัพย์โบรกเกอร์แทบทุกสำนักจะส่งเสียงเตือนนักลงทุนให้ระมัดระวังความเสี่ยงจากหุ้น บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA แต่ราคาหุ้นกลับพุ่งทะยานไม่หยุดยั้ง สร้างจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
จุดสูงสุดเดิมที่ระดับ 406 บาท ระหว่างชั่วโมงซื้อขายวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา ถูกทำลายลงเป็นที่เรียบร้อย เพราะเมื่อวันพุธที่ 23 ธันวาคม โดยระหว่างชั่วโมงซื้อขาย หุ้น DELTA พุ่งขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 444 บาท ก่อนจะลงมาปิดที่ 420 บาท เพิ่มขึ้น 42 บาทหรือเพิ่มขึ้น 11.11% จากราคาต่ำสุดที่ 27 บาท ระหว่างชั่วโมงซื้อขายวันที่ 13 มีนาคม 2563
ในวันนี้ DELTA ได้สร้างจุดปิดสูงสุดใหม่ที่ระดับ 420 บาท เพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุด 393 บาท หรือเพิ่มขึ้น 1,455.55%
ไม่มีโบรกเกอร์สำนักไหนสามารถคาดหมายทิศทาง DELTA ได้แล้ว เพราะเป็นหุ้นที่อยู่นอกเหนือคำทำนาย และวิ่งทะลุราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ตั้งไว้โดยตลอด
หลักปัจจัยพื้นฐานนำมาใช้วิเคราะห์หาความเหมาะสมของหุ้นตัวนี้ไม่ได้ เพราะค่าพี/อี เรโช ล่าสุดอยู่ระดับ 88 เท่า ซึ่งถือว่าสูงมาก
ราคาหุ้นที่พุ่งขึ้น ทำให้ DELTA ก้าวขึ้นมาเป็นหุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือมาร์เกตแคป จำนวน 523,899.60 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับ 5 รองจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ซึ่งมีมาร์เกตแคป 1,178,223.60 ล้านบาท บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ที่มีมาร์เกตแคป 889,284.82 ล้านบาท บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ซึ่งมีมาร์เกตแคป 536,740.31 ล้านบาท และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ที่มีมาร์เกตแคป 530,779.44 ล้านบาท
สิ้นปี 2562 หุ้น DELTA ปิดที่ 53.50 บาท และผ่านมาอีก 6 เดือน ราคาหุ้นก็ยังไม่ไปไหน โดยวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ปิดการซื้อขายที่ 53.75 บาท เพิ่มขึ้นเพียง 25 สตางค์เท่านั้น แต่เมื่อย่างเข้าสู่ครึ่งปีหลัง DELTA จึงวิ่งมาราธอน และตีฝ่าทุกแนวต้าน
และไม่ว่าจะถูกมองว่าราคาแพงอย่างไร สูงเกินปัจจัยพื้นฐานขนาดไหน แต่ จนถึงขณะนี้ยังไม่ยอมหยุดพักเหนื่อย
ช่วงแรกๆ ของการพุ่งทะยาน เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านปัจจัยพื้นฐาน โดยผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปีนี้ กำไรเติบโตประมาณกว่า 100% และตอกย้ำด้วยผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ซึ่งกำไรเติบโตก้าวกระโดดกว่า 300%
แต่ ความร้อนแรงของราคาในช่วงหลัง ปัจจัยพื้นฐานตามรองรับไม่ทันแล้ว จนนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ไม่สามารถหาคำอธิบายถึงราคาที่ทะลุขึ้นมายืนเหนือ 400 บาทได้
อย่างไรก็ตาม DELTA ไม่ใช่หุ้นที่มีพฤติกรรมปั่น แต่เป็นหุ้นที่เคลื่อนตัวตามปัจจัยพื้นฐาน และเป็นหุ้นที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ โดยมีผู้ถือหุ้นรายย่อยเพียง 3,888 ราย ถือหุ้นรวมกันสัดส่วน 22.35% ของทุนจดทะเบียน
จำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อยถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับหุ้นมาร์เกตแคประดับเกิน 5 แสนล้านบาทด้วยกัน
ราคาหุ้นที่วิ่งไม่หยุด อาจเกิดจากความคาดหมายแนวโน้มผลประกอบการที่จะเติบโตก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 3 ทำให้นักลงทุนแห่เข้ามาไล่ซื้อหุ้นเพื่อเก็บตุน
นักลงทุนที่ไล่ราคาหุ้น DELTA ขึ้นมาไม่น่าจะใช่นักลงทุนรายย่อย เพราะราคาระดับเหนือ 400 บาท รายย่อยคงถอดใจแล้ว แต่น่าจะเป็นนักลงทุนประเภทสถาบันที่ลุยเก็บ โดยไม่กังวลว่า ราคาจะแพงเกินไปหรือไม่
เพราะมองถึงอนาคตหุ้นตัวนี้มากกว่า
ในสายตาของนักลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะสถาบันต่างชาติอาจเห็นว่าราคาหุ้น DELTA ยังไม่แพงเมื่อเทียบกับแนวโน้มผลประกอบการในอนาคต ดังนั้น ราคาหุ้นจึงอาจไม่หยุดที่ระดับ 420 บาท
แต่สำหรับนักลงทุนรายย่อยราคานี้คงยอมแล้ว ไม่กล้าลุยตาม เพราะกลัวตาย และคงได้แต่นั่งดู DELTA เดินหน้าสร้างจุดสูงสุดใหม่ต่อไปด้วยความเสียดาย
เสียดายที่ขาย DELTA ทิ้งออกไปก่อน และเสียดายที่ไม่เก็บหุ้นตัวนี้ไว้