บล.ทิสโก้ คาดดัชนีหุ้นไทยอาจขึ้นได้จำกัด เพราะใกล้เป้าหมายสิ้นปีที่ 1,370 จุด แนะเลือกหุ้นรายตัวสำหรับเทรดดิ้งระยะสั้น พร้อมเคาะเป้าหมายหุ้นไทยปี 64 ที่ 1,500 จุด ปัจจัยหนุนจากนักวิเคราะห์มีโอกาสปรับเป้าหมายกำไร บจ.เพิ่ม แต่เงินทุนต่างชาติอาจไหลเข้าไทยไม่ต่อเนื่อง เพราะการเมืองในประเทศยังยืดเยื้อ
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (Mr.Apichat Poobunjirdkul, Senior Strategist, TISCO Securities Co., Ltd) เปิดเผยว่า จากการสำรวจผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ไตรมาสที่ 3/2563 พบว่า บริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 1.47 แสนล้านบาท ลดลงมากถึง 31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะได้รับผลกระทบจาก COVID-19 แต่ถือว่าฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง 23% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังรัฐบาลควบคุมการแพร่ระบาดได้ดี มีการผ่อนคลายการล็อกดาวน์ และออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบกำไรสุทธิไตรมาส 3/2563 ที่ประกาศออกมากับประมาณการของตลาด จำนวน 166 บริษัท ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนดีกว่าคาด 6% โดยมีสัดส่วนบริษัทที่มีงบดีกว่าคาด 52% งบออกมาตามคาด 20% และแย่กว่าคาด 28% ด้วยงบไตรมาส 3/2563 ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด และแนวโน้มการหั่นประมาณการกำไรของตลาดโดยรวมล่าสุดเริ่มทรงตัวแล้ว จึงประเมินว่าในอนาคตนักวิเคราะห์ในตลาดมีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนได้จาก 3 ปัจจัยบวก ได้แก่
1.ตัวเลข GDP ไทยในไตรมาส 3/2563 หดตัวเพียง 6.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งถือว่าดีกว่าที่ บล.ทิสโก้คาดว่าจะติดลบ 10% และดีกว่าที่ตลาดคาดที่ติดลบ 8.8% ตามลำดับ ประกอบกับสัญญาณการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้นจากการฟื้นตัวของการค้าโลก คาดจะทำให้ตลาดมีการทยอยปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจขึ้น
2.ความชัดเจนของผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ “ไบเดน” ชนะการเลือกตั้งตามที่ประเมินไว้ ด้วยนโยบายต่างประเทศที่ประนีประนอมกว่า “ทรัมป์” น่าจะเป็นผลดีต่อการค้าและเศรษฐกิจโลก และ
3.ความหวังวัคซีนที่ใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น ทั้งของ Pfizer และ Moderna โดยหากได้รับการอนุมัติ จะช่วยหนุนภาพการฟื้นตัวเศรษฐกิจปีหน้าได้ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะไทยที่มีความอ่อนไหวกับภาคต่างประเทศค่อนข้างสูง
ทั้งนี้ บล.ทิสโก้ มองว่า การปรับประมาณการเศรษฐกิจและกำไรขึ้นจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญของดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ในปีหน้า โดยยังคงเป้าหมาย SET Index ปีหน้าที่ 1,500 จุด อิงจาก ระดับ Fwd.PER ระยะยาวในอดีตที่ 16 เท่า หรือมีโอกาสปรับขึ้น (Upside) ประมาณ 10% จากระดับราคาหุ้นปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี สำหรับเป้าหมาย SET Index ในปีนี้ บล.ทิสโก้ ยังคงไว้ที่ 1,370 จุด ใกล้เคียงกับผลสำรวจความเห็นของ IAA เมื่อวันที่ 1 ต.ค. ที่ประเมินเป้าหมาย SET Index สิ้นปีนี้ไว้เฉลี่ยที่ 1,347 จุด ซึ่งแสดงถึงโอกาสการปรับขึ้นในระยะสั้นเริ่มมีอย่างจำกัดแล้ว ประกอบกับสถานการณ์แพร่ระบาด COVID-19 ในสหรัฐฯ ที่ยังรุนแรงอยู่ และรัฐบาลท้องถิ่นในสหรัฐฯ ออกคำสั่งเพิ่มมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดขึ้น ดังนั้น สำหรับกลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น บล.ทิสโก้ จึงแนะนำให้นักลงทุนหาจังหวะขายล็อกกำไรช่วงราคาหุ้นปรับขึ้น รอย่อตัวซื้อคืน เพราะมองว่าโอกาสการปรับขึ้นสำหรับการลงทุนระยะสั้นเริ่มจำกัด แม้ว่าในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาจะเริ่มเห็นเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ารับความชัดเจนเลือกตั้งสหรัฐฯ และการคิดค้นวัคซีนได้สำเร็จ ซึ่งในปีหน้าจะมีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง แต่สำหรับตลาดหุ้นไทยแรงซื้อต่างชาติอาจขาดความต่อเนื่องจากปัจจัยถ่วงด้านการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะประเด็นการชุมนุมและการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่คาดว่าจะยืดเยื้ออีกเป็นปีและยังมีความไม่แน่นอนสูง ดังนั้น คาดจะทำให้ตลาดหุ้นไทยเกิดความผันผวนเป็นระยะ
“ในปีหน้าเงินทุนต่างชาติอาจไหลเข้าตลาดหุ้นไทยไม่ต่อเนื่องเท่าตลาดหุ้นในภูมิภาค เพราะมีปัจจัยทางการเมืองถ่วงอยู่ แต่สำหรับหุ้นที่ บล.ทิสโก้ คาดว่าจะเป็นเป้าหมายรับเงินทุนไหลเข้ารอบนี้ นอกจากจะเป็นหุ้นขนาดใหญ่แล้ว ควรมีคุณสมบัติ 3 ประการ ดังนี้ 1.“Underperform” โดยราคาหุ้นปีนี้ต้องปรับตัวลงมามากกว่าดัชนีหุ้นไทยที่ -15% และปัจจุบันยังขึ้นน้อยอยู่ 2.“Underowned” ต้องเป็นหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติลดสัดส่วนการถือครองหุ้นลงมากจากปีที่แล้วและปัจจุบันยังคงถือครองหุ้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของปีนี้ 3.“Undervalued” หุ้นที่ราคาปัจจุบันยังต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสมที่ บล.ทิสโก้ประเมินไว้” นายอภิชาติ กล่าว
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบหุ้นทั้งหมด หุ้นที่มีคุณสมบัติเข้าข่ายครบทุกข้อ และ บล.ทิสโก้แนะนำ แบ่งออกเป็นกลุ่ม BANK ได้แก่ BBL และ KKP กลุ่ม ENERG ได้แก่ EGCO, GPSC และ RATCH กลุ่ม PROP ได้แก่ CPN และ LH กลุ่ม TRANS ได้แก่ BEM และ BTS และอื่นๆ ได้แก่ BDMS
นอกจากนี้ บล.ทิสโก้ยังมีมุมมองเป็นบวกกับหุ้นที่กำไรดีกว่าคาด และตลาดมีโอกาสปรับประมาณการขึ้น โดยมีหุ้นเด่นในกลุ่มนี้ คือ ACE, FPT, GUNKUL, III, JMART, SF และ TFG และเก็งกำไรหุ้นเข้าดัชนีต่างๆ สำหรับหุ้นที่มีโอกาสย้ายเข้า SET50 บล.ทิสโก้ มีมุมมองเป็นบวกกับหุ้น BAM ส่วนหุ้นที่มีโอกาสย้ายเข้า SET100 บล.ทิสโก้ มีมุมมองเป็นบวกกับหุ้น DCC หุ้นที่มีโอกาสเข้าดัชนี MSCI Global Standard แนะนำ STGT และหุ้นที่มีโอกาสย้ายเข้าดัชนี MSCI Small Cap แนะนำ RBF