หุ้นไทยแค่ตื่นเต้นรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ระยะยาวยังมีความเสี่ยงจากหลายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจล่าช้า แถมสถานการณ์การเมืองประเทศยังกดดัน ด้านกูรูมองนักลงทุนเริ่มกลับมาสนใจหุ้นใหญ่ แต่ยังเป็นแบบรายตัว ขณะที่กลุ่มไฟฟ้า ปิโตรเคมีได้รับความนิยมมากสุด ตามติดมาด้วยหุ้นปันผลสูง
ศึกเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กำลังเป็นที่จับตาจากนักลงทุนทั่วโลก โดยหากไม่มีการพลิกล็อกเกิดขึ้น เชื่อว่า “โจ ไบเดน” อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต ผู้ท้าชิงจะกลายเป็นผู้ชนะ และก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา
เมื่อเร็วๆ นี้ “โจ ไบเดน” ออกแถลงการณ์ว่า “เมื่อการนับคะแนนเสร็จสิ้นเชื่อว่าเราจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ ผมจะบริหารบ้านเมืองในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต้องย้ำว่าตำแหน่งประธานาธิบดีไม่สามารถเลือกข้างและทำให้เกิดความแตกแยกได้”
ด้านฝั่งตลาดลงทุน พบว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกทะยานขึ้น ขานรับผลการนับคะแนนเลือกตั้งสหรัฐฯ หลังคะแนน “ไบเดน” กลับขึ้นมานำ “โดนัลด์ ทรัมป์” และมีโอกาสได้ชัยชนะในการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ ไม่เว้นแม้แต่หุ้นไทยที่ดีดตัวเพิ่มขึ้นมากถึง 41.88 จุด ท่ามกลางมูลค่าซื้อขายระดับ 8.09 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนมองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเพิ่มภาษีรายได้หนุนการลงทุนตามที่ใช้หาเสียงของ “ไบเดน” คงเกิดขึ้นได้ยาก เนื่องจากพรรครีพับลิกันยังคงครองเสียงข้างมากวุฒิสภา และนั่นทำให้สิ่งที่ประเทศไทยต้องติดตาม ว่า สหรัฐฯ จะกลับเข้าร่วม CPTPP (Comprehensive and Progressive Trans-pacific Partnership : ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก) หรือไม่ หากสหรัฐฯ เข้าร่วมประเทศไทยต้องพิจารณาเข้าร่วม เพื่อไม่ให้เสียประโยชน์
“ถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงไทย ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างเคลื่อนไหวในแดนบวกกัน ตอบรับคาดการณ์ว่า “โจ ไบเดน” จากพรรคเดโมแครต มีโอกาสที่จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งนี้ ทำให้มีการเข้ามาซื้อหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายของนายไบเดน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างการเข้ามาซื้อหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่มอื่นที่ราคาหุ้นได้ปรับตัวลงไปมากแล้ว เช่น หุ้น CPF, CPALL จนดัชนีหุ้นไทยทะลุแนวต้านสำคัญ 1,230 และ 1,250 จุดขึ้นไปได้
นอกจากนี้ เชื่อว่าน่าจะมีการทำ Short covering ด้วย โดยน่าจะมาจากกองทุนระยะสั้นน่าจะเข้ามาซื้อเป็นการเล่นตามโมเมนตัมตลาด โดยนักลงทุนเปลี่ยนตัวเล่นจากหุ้นขนาดเล็กหันไปเล่นขนาดใหญ่ แต่คนยังไม่กล้าเล่นหุ้นในกลุ่มแบงก์ เพราะกลุ่มนี้เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นก็ยังพร้อมที่จะปรับตัวลงไปได้อีก ขณะที่กลุ่มโรงไฟฟ้าคนกล้าที่เข้ามาซื้อเพราะมีปันผลดี แสดงให้เห็นว่านักลงทุนยังคงเลือกลงทุนหุ้นเป็นรายตัวอยู่ โดยวันนี้ก็เลือกหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี ตลาดยังมีปัจจัยรออยู่ในเรื่องการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และปัจจัยการเมืองในประเทศที่ยังต้องติดตามการชุมนุมทางการเมือง รวมถึงยังต้องติดตามผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการด้วย ส่วนการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) รอบนี้ไม่น่าจะมีอะไร แต่ให้ติดตามการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ซึ่งรอดูว่าจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจอะไรออกมาหรือไม่ เนื่องจากอังกฤษมีการล็อกดาวน์หลังเผชิญการแพร่ระบาดไวรัส COVID-19
“ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย แสดงความเห็นว่า กรณีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างนายโจ ไบเดน พรรคแดโมแครต และนายโดนัลด์ ทรัมป์ พรรครีพับลิกัน โดยประเมินว่าหากนายโจ ไบเดน ชนะ คาดว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ จะไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง และทำการฟ้องศาลเพื่อทบทวนคะแนนเสียงต่อไป โดยในกรณีที่นายโจ ไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดี และได้คุมสภาล่าง แต่ไม่ได้คะแนนเสียงส่วนมากของสภาสูง จะทำให้การดำเนินนโยบายไม่มีเสถียรภาพมากนัก เนื่องจากการออกนโยบายจะต้องได้รับการเห็นชอบจากสภาสูงด้วย ซึ่งหากไม่มีเสียงมากพอ การออกมาตรการต่างๆ ก็อาจทำได้ไม่ง่ายนัก เหมือนภาพของ “ทรัมป์” ในช่วง 2 ปีล่าสุด ที่ไม่ได้คุมทั้ง 3 ส่วน ทำให้การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือมาตรการต่างๆ จะต้องขอความเห็นชอบค่อนข้างยืดเยื้อ
แต่สิ่งที่ต้องติดตามในระยะถัดไป สหรัฐฯ จะต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งประเมินว่าเม็ดเงินจากเดิมที่จะออกมากว่า 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เหลือเพียง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น ดังนั้น เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจึงจะไม่ได้ออกมามากเท่าที่ตลาดคาดหวังไว้
ขณะเดียวกัน หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะมีเวลาอีกกว่า 2 เดือนจนกว่าประธานาธิบดีจะต้องทำการสาบานตน ทำให้หากข้อสรุปการเลือกประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืดเยื้อ อาจต้องมีผู้เข้าทำหน้าที่แทนประธานาธิบดีแท้จริงไปก่อน ซึ่งส่วนนี้จะยิ่งทำให้ภาพรวมแย่ลง จึงประเมินว่าความไม่แน่นอนจะกลับมาอีกครั้ง รวมถึงจะเห็นภาพการปรับลดลงของดัชนีเพิ่มเติม ดังนั้น ภาพในระยะถัดไปจึงจะไม่ราบรื่นมากนัก แต่ยังประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐจ ะเป็นโทนขาขึ้น เพราะไม่ว่าใครจะเป็นประธานาธิบดี ก็มองว่าจะต้องมีมาตรการกาะตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติมแน่นอน
“หาก ไบเดน ชนะ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจไม่ถูกสนับสนุนมากเท่า ทรัมป์ แต่บรรยากาศการค้าขายระหว่างประเทศจะดูดีขึ้น เพราะ ไบเดน น่าจะไม่ทำเหมือน ทรัมป์ ทำในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอาจทำให้เม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดเกิดใหม่มากขึ้น รวมถึงไทยยังมีความน่าสนใจอยู่ แต่ประเทศไทยต้องบริหารจัดการความเสี่ยงภายในให้ได้ โดยเฉพาะการชุมนุมทางการเมือง ดังนั้น ระดับดัชนีที่ 1,200 จุด เชื่อว่าจะเป็นแนวรับที่แข็งมาก และเป็นจุดต่ำสุดในรอบนี้แล้ว นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการปรับประมาณการของนักวิเคราะห์ที่เริ่มนิ่งแล้ว รวมถึงในปี 2564 ก็เริ่มเห็นการทยอยปรับขึ้น โดยคาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) จะสามารถกลับมาที่ระดับเดิมประมาณ 30-40%”
เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงมา เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและโครงสร้างของตลาดทุนไทย ที่ส่วนใหญ่เป็นหุ้นอิงกับเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก ทำให้เมื่อหุ้นกลุ่มหลักถูกกระทบ จึงไม่มีตัวเลือกให้นักลงทุนเลือก ดังนั้น หากปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองกลับมารุนแรง หรือยืดเยื้อต่อไป จะทำให้ตลาดหุ้นซึมตัวแรงมากกว่าเดิม แต่คงไม่ได้รุนแรงมากกว่าเดิมนัก เนื่องจากที่ผ่านมามีเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง แต่ตลาดหุ้นก็ไม่ได้ตอบรับในรูปแบบการปรับลดลงสาหัสเท่าที่ควร เพราะหากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวได้ ปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองก็จะไม่ได้กระทบกับความเชื่อมั่นมากเท่าช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้น โดยประเมินทิศทางตลาดในปี 2564 เชื่อว่าหุ้นไทยที่อิงการเติบโตจากปัจจัยเศรษฐกิจเป็นหลัก จะมีความน่าสนใจมากขึ้น เนื่องจากมีการประเมินว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัว ทำให้นักลงทุนจะกลับมาซื้อหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อไป จากเดิมที่เน้นซื้อหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากความปกติวิถีใหม่ (นิว นอร์มอล)
สำหรับทิศทางเม็ดเงินลงทุนต่างชาติในรอบ 10 เดือนที่ผ่านมา พบว่า มีเม็ดเงินออกจากตลาดหุ้นไทยกว่า 3 แสนล้านบาท ถือว่ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์ หรือมากสุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา โดยหากในปี 2564 ภาพรวมตลาดกลับมาสดใส และเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ ตลาดหุ้นไทยซึ่งยังปรับตัวขึ้นต่ำกว่าภาพรวมตลาด ก็จะมีความน่าสนใจ และมีโอกาสที่ฟันด์โฟลว์จะไหลกลับเข้ามามากขึ้น แต่ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ควรดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
“มนตรี ศรไพศาล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ไม่ว่าใครจะชนะหรือได้เป็นประธานาธิบดี ก็ต่างต้องเร่งมาตรการอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ จะมีเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาในตลาดอีกจำนวนมาก สภาพคล่องสูงขึ้น ดอกเบี้ยต่ำลง ดอลลาร์อ่อนค่า และสกุลเงินในเอเชียรวมถึงไทยน่าจะขยับแข็งค่าเพราะตลาดเกิดใหม่และไทยยังเป็นตลาดที่นักลงทุนสนใจลงทุน
สำหรับประเทศไทย แม้ COVID-19 จะกระทบจากการท่องเที่องเที่ยว แต่นักลงทุนต่างชาติเชื่อมั่นความปลอดภัยสามารถคุมการแพร่ระบาดได้ดี และยังมีมาตรการระมัดระวังความเสี่ยงต่อเนื่อง ทำให้ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นที่จะฟื้นตัวได้
ขณะที่ บล.เอเซีย พลัส จำกัด วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ดังกล่าววว่า แม้ล่าสุดผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ “โจ ไบเดน” เป็นผู้มีคะแนนนำ แต่หากมีการฟ้องร้องจากฝ่ายตรงกันข้าม น่าจะทำให้ผลการเลือกตั้งยังไม่เป็นที่สิ้นสุด และ “โดนัล ทรัมป์” ยังมีโอกาสพลิกกลับมาชนะได้ จึงทำการคิดและค้นหากลยุทธ์ Flexible Play คือ หาหุ้นที่ใครมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ได้ประโยชน์ ได้แก่ หุ้นกลุ่มพลังงาน หุ้นปิโตรเคมี โดยได้แรงหนุนทั้งจากมาตรการที่เน้นการใช้พลังงานฟอสซิล ของพรรครีพับลิกัน ในส่วนของพรรคเดโมแครต มีมาตรการกระตุ้นโครงสร้างพื้นฐานกว่า 2 ล้านล้านเหรียญ ทำให้เกิดความต้องการใช้พลังงาน เงินเฟ้อตามมา ดังนั้น มาตรการที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่ายหนุนให้ราคาน้ำมันมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น แนะนำ SCC, IVL, PTTGC และ PTT
นอกจากนี้ คือ หุ้นกลุ่มส่งออก มองว่าประเด็นกดดันจีน ทั้ง Trade war และ Tech War ของพรรครีพับลิกัน น่าจะทำให้เห็นการสั่งออเดอร์ และย้ายฐานการผลิตมาไทยมากขึ้น ในส่วนของพรรคเดโมแครต ซึ่งนโยบายให้น้ำหนักกับกลุ่ม CPTPP ถือว่าเอื้อประเทศในฝั่งเอเชีย และถ้าไทยเข้าร่วมถือเป็นการเปิดตลาดส่งออกที่กว้างขึ้น ดังนั้น แนะนำ TU, CPF และ SVI
สุดท้ายหุ้นปันผลสูง เพราะมองว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องของทั้ง 2 ฝั่ง รวมถึงหลายประเทศยังเผชิญ COVID-19 จึงน่าจะกดดันให้ดอกเบี้ยนโยบายยืนในระดับต่ำไปอีกสักระยะ ขณะที่ในไทย ภาพรวมการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้น ทำให้การใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายยังจำเป็น ขณะที่หุ้นได้ประโยชน์ แนะนำ DCC, AP และ INTUCH