เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย” ลุยลงทุนในหลายธุรกิจ หวังเป็น Global Company ใน 3 ปี เตรียมพร้อมก้าวเข้าไปเทรดใน SET อัดงบซื้อคอนเทนต์เพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาท หลังพบความต้องการคอนเทนต์พุ่งทุกช่องทาง ล่าสุด ซื้อ JKN Global Living พร้อมร่วมทุนตั้ง "เจเคเอ็น เอ็มเอ็นบี" หวังบริษัทใหม่เพิ่มช่องทางทำเงินและต่อยอดธุรกิจ อีกทั้งดันเป็น Content Commerce Company กระจายความเสี่ยงธุรกิจอย่างเหมาะสม โบรกเกอร์ ประสานเสียง ให้ ซื้อ หุ้น JKN เข้าพอร์ต ชี้ผลงานจะเติบโตต่อเนื่อง อานิสงส์ขายคอนเทนต์พุ่ง แถมมาร์จิ้นสูง เน้นควบคุมค่าใช้จ่าย พร้อมกับขยายฐานลูกค้าทั้งใน และต่างประเทศเพิ่ม
นับจากเกิดโรคระบาดไวรัสโควิด-19 และมาตรการรัฐ ทำให้ประชาชนใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังและรัดกุมมากขึ้น รวมทั้งการออกไปนอกเคหสถานก็น้อยลง ส่งผลให้ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตในบ้านเสียแทบทั้งสิ้น กลายเป็นการดำเนินชีวิตวิถีแบบใหม่ หรือนิว นอร์มอล กระทั่งการทำงานที่บ้าน หรือ WORK FROM HOME และแน่นอนเมื่อผู้คนจำเป็นต้องใช้ชีวิตในบ้าน เรื่องการบันเทิงในบ้านก็ย่อมต้องมี ดังนั้น ทีวีดิจิทัลถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกเพื่อผ่อนคลาย นั่นคือสิ่งที่ผู้ให้บริการแต่ละช่องจึงจัดสรรและสรรหารายการ ตลอดหนังมันฮอตฮิตมาลงจอแข่งกันอย่างหนาแน่น เอื้อต่อตลาดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในไทย โดยผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลหลายช่องให้ความสนใจและติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์เพิ่ม
จากสภาวะดังกล่าว ส่งผลดีต่อผู้จัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในธุรกิจนี้อย่าง บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN ผู้นำการจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ระดับโลกที่เดิมนั้นมักจะสิ่งใหม่ๆ มานำเสนอผู้ชม และยิ่งในยุคนิว นอร์มอล ผู้คนไม่ออกจากบ้านเหมือนก่อน JKN หันมาเอาใจคนไทยในยุคไวรัสโควิด-19 ด้วยการเพิ่มช่องทางการรับชมหนัง เอ็มวี ซีรีส์ ผ่านโซเชียลมีเดียทุกช่องทาง
ทั้งนี้ ทำให้ JKN เพิ่มงบลงทุนซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในต่างประเทศเป็น 1,000 ล้านบาท จากเดิมที่เตรียมงบไว้ 800 ล้านบาท หลังเห็นสัญญาณของตลาดลิขสิทธิ์คอนเทนต์ทั้งในและต่างประเทศเติบโตดี โดยเฉพาะไตรมาส 2 นี้ ที่สร้างผลงานเติบโตได้อย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการของผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลในประเทศ
เพราะตัวเลขงบการเงินที่ออกมาพบว่ามีกำไร 84.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 69.62 ล้านบาท ส่งผลให้งวด 6 เดือนแรกปี 63 JKN มีกำไรสุทธิ 180.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดนี้ปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 150.12 ล้านบาท ส่งผลให้งวด 6 เดือน บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวม 916.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 46.69 ล้านบาท ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในแต่ละธุรกิจ สำหรับงวด 6 เดือน มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับรายได้ประเภทเดียวกันจากปีก่อน เพราะรายได้ค่าสิทธิจากธุรกิจให้บริการและจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ เติบโต 1.21 % รายได้จากการให้บริการจากธุรกิจบริการโฆษณา เติบโต 866.43% แต่งวดนี้ปีนี้ไม่มีรายได้จากการขายจากธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์ และรายได้อื่น เติบโต 581.44% นอกจากนี้ ค่าเงินบาทที่ปรับตัวอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินเหรียญสหรัฐตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 นี้ส่งผลให้บริษัทฯ รับรู้รายการกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับงวดนี้
ขณะตลาดในต่างประเทศ JKN ปิดสัญญาการขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ซีรีส์ละครไทยจากช่อง 3 เพิ่มกับบริษัท มีเดีย คอร์ป สื่อทีวีดิจิทัลยักษ์ใหญ่ของสิงคโปร์ และกับ "ติ่ม ซำ" ซึ่งเป็นสื่อยักษ์ใหญ่ที่มีแพลตฟอร์ม OTT ทั้งในมาเลเซีย สิงคโปร์ และบรูไน อีก 5 เรื่อง และเดินหน้าขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศละตินอเมริกา ที่คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี
"ปี 63 เราจะเติบโตแบบก้าวกระโดด ผลดีจากความต้องการซื้อคอนเทนต์ไปออกอากาศเพิ่มขึ้นในทุกช่องทาง จึงตัดสินใจเพิ่มงบลงทุนซื้อคอนเทนต์ ถือว่าสูงสุดในรอบหลายปี เพื่อให้ครอบครองลิขสิทธิ์คุณภาพจากแบรนด์ดังระดับโลก" จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ JKN กล่าวไว้
ด้วยแผนงานและเป้าหมายที่มี JKN จึงจำต้องระดมทุนด้วยการยื่นเรื่องต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัท ครั้งที่ 1/2563 มูลค่ารวมไม่เกิน 400 ล้านบาท อายุ 2 ปี 9 เดือน ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2566 มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ปีละ 6.60% ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ ผ่าน บล.กรุงไทย ซีมีโก้ และ บล.คิงส์ฟอร์ด ซึ่งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย และหุ้นกู้ล็อตนี้ขายเกลี้ยงทั้งนี้ เพราะหุ้นกู้แปลงสภาพล็อตนี้ออกมาเพื่อขายให้กองทุน North Haven Thai Private Equity กลุ่ม Morgan Stanley บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านบริการทางการเงินระดับโลก เพื่อเข้ามาร่วมลงทุนในบริษัทฯ และแต่งตั้งผู้บริหารของกลุ่ม Morgan Stanley เข้ามาเป็นนั่งเป็นกรรมการบริษัท 2 คนคือ *** ยุทธพงศ์ มา และเอกภิสิทธ์ สุทธิกุลพานิช ** เพื่อร่วมกำหนดทิศทางการดำเนินงาน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในธุรกิจ ถือเป็นการต่อยอดขยายธุรกิจของ JKN ผ่านเครือข่าย ของ Morgan Stanley ในภูมิภาคเอเชียเพิ่ม ซึ่ง JKN หวังแลกเปลี่ยนประสบการณ์พร้อมต่อยอดธุรกิจผลักดันเป้าหมายสู่การเป็น Global Company ภายใน 3 ปี
ปีนี้บริษัทยังคงทุ่มเทกับการทำงานอย่างต่อเนื่องและเดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้นำคอนเทนต์คุณภาพระดับโลก ผ่านบริษัทลูกอย่าง JKN Channel บริษัทในเครือ JKN เจ้าของช่อง “JKN Dramax” ช่องหนังซีรีส์คุณภาพเยี่ยม เรียกได้ว่าขึ้นผงาดเบอร์หนึ่งช่องซีรีส์อินเดียที่คนไทยนิยมสุด ช่องแรกและช่องเดียวของเมืองไทย เรตติ้งดีต่อเนื่อง 10 ปีซ้อน และสิ่งสำคัญอยู่ที่ “การเลือกคอนเทนต์” ที่เข้าใจคนดูเพราะทุกคอนเทนต์ถูกใจคนดูจน สร้างปรากฏการณ์ ซีรีส์ฟีเวอร์ถล่มทลายอย่างต่อเนื่อง ทั้งซีรีส์ฝรั่ง จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะ ซีรีส์อินเดีย ที่สร้างปรากฏการณ์พันล้าน ขณะคอนเทนต์ละครไทยช่อง 3 JKN มีแผนบุกอาเซียนและยุโรป ซึ่งได้เซ็นสัญญากับประเทศแถบละตินอเมริกาแล้ว
แตกไลน์ 2 ธุรกิจใหม่ลดเสี่ยงเพิ่มช่องทางรายได้
ล่าสุด JKN เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดในบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล ลิฟวิ่ง เน็ทเวิร์ค จำกัด หรือ JKN Global Living จากผู้ถือหุ้นเดิมคือ นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ น.ส.พิมพ์อุมา จักราจุฑาธิบดิ์ และนางพิสมัย ลิขิตอำนวย ซึ่งเป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัท จำนวนทั้งสิ้น 1 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท ในราคาหุ้นละ 49 บาท คิดเป็นเงินลงทุนรวมไม่เกิน 49 ล้านบาท คาดแล้วเสร็จไตรมาส 2 ปี 2564
ทั้งนี้ JKN Global Living ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการลงทุนหรือประกอบธุรกิจการผลิต จัดจำหน่ายสินค้าเพื่อสุขภาพ ความสวยงาม และสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค โดยผ่านการถือหุ้นโดยทางตรงและทางอ้อมในบริษัทย่อย 5 บริษัท ดังนั้น ภายหลังจากการเข้าซื้อหุ้นดังกล่าว ทำให้ JKN จะเข้าเป็นผู้ถือหุ้นทางอ้อมในบริษัท เจเคเอ็น เฮลท์ แอนด์ บิวตี้ จำกัด บริษัท เจเคเอ็น คอนซูเมอร์ โปรดักส์ จำกัด บริษัท เจเคเอ็น หมี่วอย จำกัด บริษัท เจเคเอ็น ทูฟิต ฟู๊ด จำกัด และบริษัท เจเคเอ็น จีเนียส แฟมมิลี่ จำกัด
พร้อมกันนี้ ยังตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อ บริษัท เจเคเอ็น เอ็มเอ็นบี จำกัด หรือ JKN MNB ด้วยทุนจดทะเบียน 34 ล้านบาท โดย JKN ถือหุ้น 51% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมด ซึ่งร่วมลงทุนกับบริษัท เอ็ม เอ็น เบฟเวอเรจ จำกัด ถือ 49% เพื่อประกอบธุรกิจด้านการจัดจำหน่ายเครื่องดื่ม โดย JKN ใช้เงินทุนหมุนเวียนไม่เกิน 27 ล้านบาท คาดแล้วเสร็จไตรมาส 2 ปี 2564
สำหรับการเข้าทำธุรกรรมการซื้อหุ้นทั้ง 2 บริษัทดังกล่าว จะช่วยให้บริษัทสามารถขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจของบริษัทไปยังธุรกิจประเภทใหม่ทั้งการผลิต จัดจำหน่ายสินค้าเพื่อสุขภาพ ความสวยงาม และสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค และธุรกิจด้านการจัดจำหน่ายเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความน่าสนใจ มีศักยภาพ และน่าจะเกิดประโยชน์ต่อบริษัทและผู้ถือหุ้นของบริษัทได้
นอกจากนี้ ยังเปลี่ยนชื่อบริษัทย่อยของ JKN จากเดิม "บริษัท เจเคเอ็น แชนแนล จำกัด" เป็น "บริษัท เจเคเอ็น ไลฟ์ จำกัด" พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงลักษณะการประกอบธุรกิจของบริษัท เป็น การให้บริการผลิตรายการ การให้เช่าสตูดิโอ การให้เช่าคอสตูม (เครื่องแต่งกายและ/หรือเครื่องประดับ) การให้บริการจัดการงานอีเว้นท์ต่างๆ และการบริหารจัดการศิลปิน
ขณะที่ช่องรายการ JKN Dramax นั้น ได้ยุติการออกอากาศตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2563 และเปลี่ยนแปลงลักษณะการประกอบธุรกิจของบริษัท เจเคเอ็น นิวส์ จำกัด จากเดิมดำเนินธุรกิจผลิตรายการข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ภายใต้ชื่อ JKN CNBC ออกอากาศ ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ในระบบดิจิทัล และสื่อออนไลน์ เป็น ผลิตรายการข่าวภายใต้ชื่อสำนักข่าวเศรษฐกิจ JKN CNBC และสำนักข่าว JKN News ธุรกิจสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ประเภทเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ช่องรายการ JKN TV และการให้บริการเวลาโฆษณา ซึ่งช่องรายการ JKN TV เริ่มออกอากาศทาง PSI 86 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา
จากแผนการลงทุนของ JKN ทำให้ JKN จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนต่อเนื่อง และเป็นไปตามคาดเพราะ JKN ได้ยื่นแบบแสดงรายงานข้อมูลต่อสำนักงาน ก.ล.ต.อีกครั้ง เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัท ครั้งที่ 2/2563 มูลค่าไม่เกิน 600 ล้านบาท แบ่งเป็น จำนวนเสนอขายไม่เกิน 450 ล้านบาท และจำนวนที่สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติมไม่เกิน 150 ล้านบาท มีอายุ 2 ปี 9 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 6.60% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน ซึ่งหุ้นกู้ล็อตดังกล่าวนี้เสนอขายต่อผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ จะขายปลายเดือน พ.ย.63 นี้ และมีผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ คือ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) บล.คิงส์ฟอร์ด บล.กรุงไทย ซีมิโก้ และ บล.เอเอสแอล
เพื่อจะนำไปเป็นเงินลงทุนในการซื้อคอนเทนต์ และ/หรือผลิตคอนเทนต์ 225-300 ล้านบาท และกรณีอื่นๆ เช่น เพื่อเป็นเงินทุนที่ใช้หมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ และ/หรือลงทุนในธุรกิจอื่นๆ 150-225 ล้านบาท ระยะเวลาใช้เงินในปี 63-64 นายธีรภัทร เพ็ชรโปรี รองกรรมการผู้จัดการ สายงานการเงินและบัญชี JKN เผยว่า การเข้าซื้อกิจการบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล ลิฟวิ่ง เน็ทเวิร์ค จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตจำหน่ายสินค้าเพื่อสุขภาพ ความงาม และสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค นับ เป็นการต่อยอดการขยายธุรกิจ และช่วยผลักดันรายได้และกำไรให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญในระยะต่อไป เพื่อรองรับกับการที่ JKN เตรียมย้ายการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) อันจะช่วยผลักดันให้บริษัทเดินหน้าไปตามเป้าหมายที่มุ่งเป็น Content Commerce Company มีการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจอย่างเหมาะสม และใช้จุดแข็งด้านการทำสื่อและคอนเทนต์มาผนวกใช้กับการขายสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อขยายการสร้างรายได้ จากปัจจุบันที่มีรายได้หลักมาจากการขายคอนเทนต์ 90% และรายได้อื่นๆ 10% และหลังจากการเข้าซื้อกิจการแล้วเสร็จ คาดว่าปี 64 ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคจะสร้างรายได้ราว 200 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนรายได้ 30% และสัดส่วนรายได้จากการขายคอนเทนต์จะปรับมาที่ 70%
ปัจจุบัน บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล ลิฟวิ่ง เน็ทเวิร์ค จำกัด มีรายได้อยู่ที่ 15 ล้านบาท จากการขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่เป็นอาหารเสริมแบรนด์ C-TRIA เพียง 1 สินค้า ขณะที่ยังมีผลการดำเนินงานขาดทุน แต่เมื่อบริษัทซื้อกิจการเข้ามาจะปรับกระบวนการการขายและกระบวนการออกสินค้าใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เน้นการขายสินค้าที่ให้มาร์จิ้นสูง เพื่อทำให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มและจะออกสินค้าใหม่ทำให้สินค้ามีตัวเลือกที่หลากหลาย เข้าถึงลูกค้าหลากหลายกลุ่ม
ดังนั้น หลังจากนี้ไปจะเห็น JKN ออกสินค้าใหม่ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพด้านการบำรุงผม เพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย และผลิตภัณฑ์กลุ่ม Energy Drink เป็นต้น พร้อมกับการใช้สื่อในเครือของ JKN ในการประชาสัมพันธ์และการขาย ซึ่งการซื้อ " เจเคเอ็น โกลบอล ลิฟวิ่ง เน็ทเวิร์ค" ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในราคาที่เหมาะสม ลงทุนน้อยกว่าการซื้อคอนเทนต์ 1 เรื่อง และสามารถนำจุดแข็ง สร้างรายได้และกำไรให้แข็งแกร่ง และคาดว่าในปี 64 บริษัทนี้จะเริ่มมีกำไรเป็นปีแรก หลังจาก JKN ซื้อมา เพราะจะเดินหน้ารุกธุรกิจอย่างจริงจัง ซึ่งสินค้าใหม่ที่จะออกมาเพิ่มเติมจะเตรียมประกาศในงาน JKN SPECTECULAR เดือน พ.ย.นี้
ขณะเดียวกัน เมื่อย้ายหุ้นเข้าไปเทรดใน SET เป้าหมาสำคัญคือการขยายธุรกิจให้บริษัทเติบโตขึ้น จากปัจจุบัน JKN มีธุรกิจขายคอนเทนต์และมีเดียเป็นหลักที่มีการเติบโตอยู่แล้ว ซึ่งจุดแข็งที่มีสื่อในมือเป็นของตัวเอง มีทีมผลิตคอนเทนต์ มีไอเดีย และใช้การทำซูเปอร์สตาร์มาร์เกตติ้ง ร่วมกับการออก product และผู้บริหารถือหุ้นอยู่ในบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล ลิฟวิ่ง เน็ทเวิร์ค จำกัด อยู่แล้ว จึงเป็นแนวทางที่ดีที่จะนำสินค้ามารวมกับมีเดีย ใช้ประชาสัมพันธ์ ดีไซน์คอนเทนต์การขายที่ดี เป็นสิ่งที่เสริมความแข็งแกร่งให้แก่ JKN เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดรายได้การบริหารมีเดียที่สามารถขายสินค้าได้เองมากกว่าการขายโฆษณา
การซื้อ "เจเคเอ็น โกลบอล ลิฟวิ่ง เน็ทเวิร์ค" ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในราคาที่เหมาะสม ลงทุนน้อยกว่าการซื้อคอนเทนต์ 1 เรื่อง และสามารถนำจุดแข็ง สร้างรายได้และกำไรให้แข็งแกร่ง และคาดว่าในปี 64 บริษัทนี้ จะเริ่มมีกำไรเป็นปีแรก หลังจาก JKN ซื้อมา เพราะจะเดินหน้ารุกธุรกิจอย่างจริงจัง ซึ่งสินค้าใหม่ที่จะออกมาเพิ่มเติมจะเตรียมประกาศในงาน JKN SPECTECULAR เดือนพ.ย.นี้
ทั้งนี้ ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคที่เป็นอาหารเสริมในประเทศไทยถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่ ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดรวมที่ 3.7 หมื่นล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปี ทำให้บริษัทเห็นโอกาสในการเข้ามาขยายการต่อยอดธุรกิจในส่วนนี้ เป็นการต่อยอดธุรกิจไปอีกขั้นหลังจากที่ย้ายเข้าเทรดใน SET
“ธุรกิจขายคอนเทนต์และมีเดียของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีรายรับในประเทศที่เติบโตขึ้นทุกปี เห็นได้จากปีนี้ JKN ปิดสัญญาขายคอนเทนต์ไปได้แล้ว 2 พันล้านบาท ซึ่งลูกค้าทยอยชำระเงินเข้ามาตามเครดิตที่ให้แก่ลูกค้า 3-6 เดือน กอปรกับการขายและบริหารคอนเทนต์ในต่างประเทศได้เซ็นสัญญากับช่อง 3 ต่อเนื่องไปอีก 3 ปี อีกทั้งการมีช่องสถานี JKN TV ช่องรายการบันเทิงที่ได้รับความนิยม ทำให้มองถึงการต่อยอดธุรกิจไปอีกขั้น โดยใช้พลังของสื่อที่ JKN มีสร้างการต่อยอดให้แก่ผลการดำเนินงานของบริษัทไปอีกขั้นให้เติบโตควบคู่ไปกับการเติบโตของคอนเทนต์และมีเดีย” นั่นคือคำพูดจากปากของ CEO
ดังนั้น จากนี้ไปคงต้องมาจับตาดูกันว่า JKN จะก้าวไปถึงเป้าหมายได้มากน้อยเพียงใด ขณะที่ราคาหุ้น JKN เทรดกันในระดับ 9-10 บาท และช่วงหลังแจ้งงบไตรมาส 2 ที่ราคาหุ้นพุ่งไปเทรด 11.60 บาท รับข่าวกำไรเติบโตต่อเนื่อง แต่หลังจากนั้นเพียงสัปดาห์เดียวราคาหุ้นก็กลับมาเทรดขึ้นลงระดับเดิม
โบรกเกอร์ประสานเสียง ซื้อ JKN
โบรกเกอร์ประสานเสียงให้ ซื้อ หุ้น JKN เข้าพอร์ต เพราะผลงานจะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน อานิสงส์ขายคอนเทนต์พุ่งแถมมาร์จิ้นสูง อีกทั้งเน้นควบคุมค่าใช้จ่าย พร้อมกับขยายฐานลูกค้าทั้งในต่างประเทศเพิ่ม ช่วยชดเชยรายได้การบริการที่ปรับลดลงได้
บล.หยวนต้า แนะนำ "ซื้อ" JKN ราคาเป้าหมาย 6.90 บาท/หุ้น คาดกำไรสุทธิไตรมาส 2 ที่ 78 ล้านบาท แม้จะลดลงจากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 13% ถือว่าเติบโตต่อเนื่อง แม้อุตสาหกรรมบันเทิงจะได้รับผลกระทบรุนแรงจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 แต่ถือว่าบริษัทได้รับผลกระทบน้อยกว่าบริษัทอื่น โดยรายได้จากกการขายคอนเทนต์เติบโตดี ชดเชยกับรายได้จากการบริการที่ปรับลดลง โดยผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลหลายช่องติดต่อซื้อคอนเทนต์ไปออกอากาศเพิ่มขึ้น เพื่อทดแทนรายการปกติที่ไม่สามารถผลิตได้ในช่วงการแพร่ระบาดไวรัส รวมถึงทางสถานีต้องการลดค่าใช้จ่ายด้านการผลิตรายการในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
โดย JKN ไตรมาส 2 สามารถขายคอนเทนต์เพิ่มให้แก่ช่อง 8 ช่อง 3 WorkpointTV และล่าสุด ช่อง YAKBIG (ช่องออนไลน์) ส่งผลให้รายได้ยังเติบโต เป็น 455 ล้านบาท ด้านอัตรากำไรดีขึ้นจากรายได้คอนเทนต์ที่มีมาร์จิ้นสูงมีสัดส่วนรายได้เพิ่ม และการควบคุมต้นทุน และไตรมาสนี้ไม่มีต้นทุนในการจัดงานอีเวนต์ เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานปรับเพิ่มเป็น 29%
บล.หยวนต้า คงมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปีนี้ JKN เจรจาขายคอนเทนต์ให้ผู้ประกอบการ OTT Platforms ในต่างประเทศเพิ่ม ล่าสุด มีการเซ็นสัญญาขายคอนเทนต์ในประเทศมาเลเซีย มูลค่า 30 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการเจรจาในหลายประเทศ อีกทั้งการจัดตั้ง บริษัทย่อยสิงคโปร์ รองรับแผนขยายตลาดลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในตลาดต่างประเทศมากขึ้น แถมงานในมือ backlog ที่รอรับรู้รายได้ราว 300 ล้านบาท ประเมินแบบอนุรักษนิยมรายได้โต 3% จากปีก่อน เป็น 1,750 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายของบริษัทที่ตั้งไว้ที่ต 10-15% ขณะคาดกำไรสุทธิที่ 268 ล้านบาท เติบโต 6%
บล.ฟิลลิป คำแนะนำ "ซื้อ" มอง JKN ไตรมาส 2 แนวโน้มยังดีต่อเนื่องจากไตรมาสแรกเพราะไตรมาส 2 การระบาดโควิด-19 และการหยุดทำงานที่บ้านมากขึ้น ทำให้ความต้องการคอนเทนต์ยังมีต่อเนื่องและมากขึ้น เห็นได้จากลิขสิทธิ์ของ JKN มีการนำมาออกซ้ำ รวมถึงสารคดีต่างๆ จึงคาดว่าไตรมาส 2 แนวโน้มยังดีต่อเนื่อง ส่วนเรื่องลูกหนี้คงค้าง 6 ราย มูลค่า 711 ล้านบาท ได้ชำระแล้วในไตรมาสแรก โดย 4 รายทำสัญญาชำระหนี้กับ EXIM Bank และอีก 2 รายชำระเกิน 50% แล้วทำให้คลายกังวลลง ส่วนหุ้นกู้ 900 ล้านบาท ที่ครบชำระปีนี้มีสภาพคล่องและวงเงินกู้เพียงพอชำระจะไม่กระทบฐานะการเงินของบริษัท มองราคาพื้นฐาน 5.55 บาท ยังแนะนำ "ซื้อ" และคงคาดการณ์กำไรปี 63 ที่ 281 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11.3% จากปีก่อน คงราคาพื้นฐานที่ 5.5 บาท ยังมี upside แม้ราคาหุ้นปรับขึ้นมาบ้างแล้ว
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 6.40 บาทต่อหุ้น อิง PER 14.1x เทียบเท่า 0.75SD below 3-yr avg PER 21.0x ประเมินกำไรไตรมาส 2 ที่ 78 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อน 13% แต่ลดลง 18% จากไตรมาสก่อน เพราะรายได้จากการขายลิขสิทธิ์ที่ลดลง ขณะที่เทียบไตรมาสก่อนเพิ่มขึ้นจากรายได้ในประเทศขยายตัว และการขายคอนเทนต์ให้ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล OTT platform และ cable/satellite เพิ่มขึ้น สำหรับรายได้ต่างประเทศลด และ gross profit margin ที่ 40% ลดลงจากปีก่อน แต่ ทรงตัวจากไตรมาสก่อน ผลจาก amortization ที่เพิ่มขึ้น คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2020E ที่ 277 ล้านบาท หรือเพิ่มจากปีก่อน 9.4%
แม้ราคาหุ้น outperform SET 44% ใน 3 เดือนที่ผ่านมา จากผลกระทบเชิงบวกจากโควิด-19 แต่มองว่าราคาปัจจุบันน่าสนใจ และยังไม่สะท้อนผลการดำเนินงานที่จะกลับมาเติบโตต่อเนื่องได้ในปี 2020E เมื่อเทียบกับกลุ่ม Media ซึ่งผลประกอบการกลุ่มลดลง ปัจจุบัน JKN เทรดอยู่ที่ 2020E PER 13.0x และยังมี upside จากรายได้ต่างประเทศที่ดีกว่าคาด