บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป เผย Q3/63 มีกำไร 2,056 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 50% สูงสุดเป็นประวัติการณ์รายไตรมาส หลังอาหารแช่แข็งพลิกฟื้นกลับมา และอาหารแปรรูปยอดขายโตต่อเนื่อง ส่งผลงวด 9 เดือน มีกำไร 4,789 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 74% ด้านโบรกเกอร์ปรับประมาณการปีนี้เพิ่ม สะท้อนผลประกอบการครึ่งปีหลังดีขึ้น และอัตรากำไรจะสูงสุดในปีนี้เช่นกัน แนะนำถือ ให้ราคาเหมาะสมที่ 16 บาท
วานนี้ (4 พ.ย.) บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/63 (ก.ค.-ก.ย.) มีกำไรสุทธิ 2,056.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.74% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,373.64 ล้านบาท
ทั้งนี้ กำไรสุทธิที่ 2,056 ล้านบาท ถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อไตรมาส ซึ่งเป็นผลมาจากธุรกิจหลักแข็งแกร่ง ยอดขายเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ อาหารทะเลแช่แข็งพลิกฟื้นกลับมา
โดยมียอดขาย 34,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3/62 มาจากทุกธุรกิจหลักเติบโต ในขณะที่กลุ่มสินค้าธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปยังรายงานยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ธุรกิจอาหารแช่แข็งฟื้นตัวโต 4.7%
ธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งได้พลิกฟื้นกลับมารายงานยอดขายเติบโตกว่า 4.7% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากธุรกิจร้านอาหารได้กลับมาเปิดร้าน ค่าเงินบาทอ่อนตัวเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่น ส่งผลให้ยอดขาย 9 เดือนแรกของปี 63 ปรับเพิ่มขึ้น 5.9% มาอยู่ที่ 98,938 ล้านบาท โดยอัตรากำไรสุทธิไตรมาส 3/63 อยู่ที่ 5.9% เพิ่มขึ้นจาก 4.3% ในปีก่อนหน้า
กำไร 9 เดือน 4.78 พันล้าน พุ่ง 73.6%
ส่วนงวด 9 เดือน ปี 63 มีกำไรสุทธิ 4,788.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,758.52 ล้านบาท และหากแยกค่าใช้จ่ายทางกฎหมายออกไป กำไรสุทธิ 9 เดือน ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ 15% จากปีก่อน
ทิสโก้ขยับเพิ่มเป้ากำไร-แนะนำถือ
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ จาก บล.ทิสโก้ คาดว่ายอดขายของอาหารแช่แข็งจะเพิ่มขึ้นจากการตุนอาหารในช่วงของโรคระบาด ในขณะที่การเริ่มกลับมาเปิดกลุ่ม HoReCa จะทำให้ยอดขายอาหารแช่แข็งเพิ่มขึ้น จึงคาดอัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงเป็น 17.5% จากเดิมที่ 18.2% ในช่วง 2Q20 เนื่องจากสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่เปลี่ยนไป ด้านร้านอาหาร Red Lobster เริ่มกลับมาเปิดกิจการ แต่ปริมาณลูกค้ายังไม่เท่าเดิม
นอกจากนี้ คาดผลประกอบการปี 2020-2022F ที่ 5.90, 5.56 และ 5.97 พันล้านบาทตามลำดับ เพิ่มขึ้น 37.4%, 4% และ 1% ตามลำดับ โดยคาดว่าผลประกอบการ 2Q20 ที่แข็งแกร่งจะทำให้ผลประกอบการ 2H20 แข็งแกร่งตาม ในขณะที่อัตรากำไรจะสูงสุดในปี 2020 เนื่องมาจากโรคระบาด แต่จะลดลงในปีหน้าจากโรคระบาดที่ลดลงก่อนที่อัตรากำไรจะกลับมาขยายตัวในปี 2022F
แนะนำให้ “ถือ” โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 16.00 บาท (อิง PER ที่ 1.7 เท่าสำหรับปี 2021F) มีความเสี่ยงคือ ความผันผวนของราคากุ้ง และปลาทูน่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น