16 ตุลาคมของทุกปี องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (อังกฤษ : Food and Agriculture Organization of the United Nations หรือ FAO) ได้กำหนดให้เป็นวันอาหารโลก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยขจัดความหิวโหยของผู้คนทั่วโลก เนื่องในวันดังกล่าว บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ขอเป็นส่วนหนึ่งในการเชิญชวนบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านอาหารทั่วโลกร่วมกันสร้างห่วงโซ่อุปทานอาหารที่ยั่งยืนมากขึ้น เพื่อขจัดความหิวโหยที่เกิดขึ้นให้หมดไปจากโลก
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไทยยูเนี่ยนมีเป้าหมายในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ผู้คน ควบคู่ไปกับความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล จึงเกิดเป็นกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® ของไทยยูเนี่ยนขึ้น นอกจากความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานและความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลแล้ว บริษัทมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN SDGs) ในหัวข้อที่ 2 ในความพยายามที่จะขจัดความหิวโหยอย่างต่อเนื่อง”
ในขณะเดียวกัน การดำเนินธุรกิจด้านอาหารมีความจำเป็นต้องสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นในห่วงโซ่อุปทาน เพราะยังคงต้องผลิตอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงผู้คนทั่วโลกในอนาคต ไทยยูเนี่ยนดำเนินการไม่เพียง แต่ตรวจสอบให้แน่ใจว่าห่วงโซ่อุปทานของเรามีความแข็งแกร่งและโปร่งใส แต่ยังรวมถึงการค้นหานวัตกรรมใหม่ๆ เช่น โปรตีนทางเลือกเพื่อให้เราสามารถส่งมอบอาหารที่ดีต่อสุขภาพและมีคุณค่าทางโภชนาการให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลกได้ต่อไป”
“ทั้งนี้ ในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังคงสร้างผลกระทบวงกว้างทั้งทางเศรษฐกิจและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั่วโลกของโควิด-19 ที่ผ่านมา บริษัทได้เพิ่มการสนับสนุนสำหรับชุมชนในพื้นที่ดำเนินงาน ตลอดจนผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ต่างๆ บริษัทได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารให้แก่ทั้งผู้รับผลกระทบและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการรับมือกับเชื้อไวรัสดังกล่าวอย่างเต็มที่ โดยไทยยูเนี่ยน ในฐานะที่มีแบรนด์อยู่ทั่วโลก จึงได้นำผลิตภัณฑ์บริจาคและสนับสนุนให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้แก่
• แบรนด์ซีเล็ค มอบผลิตภัณฑ์ปลาแมคเคอเรล จำนวน 80,000 กระป๋อง ผ่านมูลนิธิสติ ซึ่งเป็นมูลนิธิที่ช่วยเหลือด้านสุขภาพและการศึกษาในพื้นที่ด้อยโอกาสในประเทศไทย เพื่อนำช่วยบรรเทาทุกข์ให้แก่ประชาชนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบในสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ COVID-19
• มอบผลิตภัณฑ์ทูน่า อินฟิวชัน (Tuna Infusions) ซึ่งเป็นทูน่าปรุงรสบรรจุในถ้วยพร้อมรับประทาน จำนวน 42,000 กระป๋อง ผ่านสภากาชาดไทย เพื่อส่งมอบให้บุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
• บริจาคผลิตภัณฑ์ซีเล็คซาร์ดีน จำนวนกว่า 10,000 กระป๋อง ให้แก่ครัวเคลื่อนที่ของสภากาชาดไทย สำหรับช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนจากโควิด-19
• มอบผลิตภัณฑ์ซีเล็คทูน่าสเปรด จำนวน 48,000 ชิ้น ผลิตภัณฑ์ซีเล็คทูน่าและซาร์ดีน จำนวน 25,000 กระป๋อง และผลิตภัณฑ์ฟิชโช จำนวน 8,000 ซอง เพื่อส่งต่อไปยังบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และโรงพยาบาลของรัฐ ผ่านกระทรวงสาธารณสุข
• บริจาคผลิตภัณฑ์ซีเล็คซาร์ดีน จำนวน 20,000 กระป๋อง ให้แก่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19
• แบรนด์คิวเฟรช มอบอาหารพร้อมรับประทานจำนวน 500 กล่อง ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ที่โรงพยาบาลบำราศนราดูร และมอบวัตถุดิบปลากะพงแช่แข็ง จำนวน 400 กิโลกรัม ให้แก่โครงการ Chef Hug สำหรับประกอบอาหาร เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในชุมชนทั่วกรุงเทพฯ
• แบรนด์ ชิคเก้น ออฟ เดอะ ซี (Chicken of the Sea) ในสหรัฐอเมริกา มอบผลิตภัณฑ์อาหารทะเล เช่น ปลาทูน่า แซลมอนกระป๋องสำเร็จรูป และอาหารทะเลแช่แข็ง จำนวนกว่า 2,500,000 ชิ้น ให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบในอเมริกาเหนือ
• ไทยยูเนี่ยน ไชน่า ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้บริจาคผลิตภัณฑ์ปลาทูน่า แบรนด์คิง ออสการ์ จำนวนกว่า 52,000 กระป๋อง ไปยังเมืองอู่ฮั่น ซึ่งเป็นเมืองที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการระบาดของโควิด-19
• แบรนด์ Petit Navire ในประเทศฝรั่งเศส บริจาคผลิตภัณฑ์ทูน่า ซาร์ดีน และแมคเคอเรลจำนวน 75,000 กระป๋อง ไปยัง Secours Populaire Francais เพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส และยังได้ร่วมกับ แบรนด์ MerAlliance บริจาคหน้ากาก FFP2 จำนวน 24,000 ชิ้น ผ้ากันเปื้อน จำนวน 38,000 ชิ้น และหมวกอนามัย จำนวน 5,000 ชิ้น ให้แก่โรงพยาบาลในแก็งแปร์ (Quimper) ประเทศฝรั่งเศส
• แบรนด์จอห์น เวสต์ (John West UK) ในสหราชอาณาจักร ได้มีการบริจาคผลิตภัณฑ์ steam post จำนวน 2,500 กล่อง ให้แก่หน่วยงานสาธารณสุข (National Health Service) ของประเทศอังกฤษ
• John West Holland บริจาคผลิตภัณฑ์ จำนวน 1,000 กระป๋อง ให้แก่ Utrecht Food Bank
“ความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของทุกสิ่งที่ไทยยูเนี่ยนทำ และภายใต้กลยุทธ์ SeaChange® เราทำงานอย่างหนักเพื่อพัฒนาธุรกิจที่ยั่งยืนมากยิ่งขึ้นและผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกในอุตสาหกรรมอาหารทะเลทั้งหมด และขอสนับสนุนให้บริษัทอาหารทั่วโลกให้ความสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่อาหารมีความยั่งยืนมากขึ้นเพื่ออนาคตของคนรุ่นต่อๆ ไป”