โฮมโปร เดินหน้าลงทุนฝ่ากระแสโควิด-19 เนรมิตที่ดินผืนใหญ่ 25 ไร่ ลงทุนเปิดโครงการศูนย์การค้ามาร์เก็ต วิลเลจ รังสิต มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท บนเส้นรังสิต-ธัญบุรี ครอบคลุมลูกค้าถึงคลอง 13 พร้อมกับเปิดสาขาโฮมโปรแห่งที่ 85 ภายในโครงการ กับโมเดลการดีไซน์พื้นที่วางกลุ่มสินค้าที่รับกับพฤติกรรมลูกค้าในช่วงโควิด-19 วางเป้าขายเบื้องต้น 100 ล้านบาทต่อเดือน เผย พ.ย.เปิดโฮมโปรแห่งที่ 86 สาขาสุดท้ายในปีนี้ พร้อมอัดทุกกลยุทธ์ผ่านทุกช่องทาง ดันรายได้รวมให้สู่ 69,000 ล้านบาท
น.ส.เสาวณีย์ สิราริยกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการกลุ่มการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้เดินหน้าตามแผนในการขยายสาขา แม้จะอยู่ในสถานการณ์ของโควิด-19 โดยได้ทุ่มงบกว่า 1,000 ล้านบาท เปิดศูนย์การค้ามาร์เก็ต วิลเลจ รังสิต (หนึ่งในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือโฮมโปร) ซึ่งจะเป็น Life Style Mall แห่งใหม่บนถนนทำเลศักยภาพรังสิต-ธัญบุรี พื้นที่กว่า 25 ไร่ รวมพื้นที่ใช้สอยกว่า 35,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) สามารถรองรับลูกค้าตั้งแต่เส้นคลอง 4 ไปถึงคลอง 13 หรือวางวงที่จะให้บริการลูกค้าได้ประมาณ 30 กิโลเมตร (กม.) ประกอบกับโซนรังสิต เป็นหนึ่งในทำเลของของที่อยู่อาศัยมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วและเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
"แม้จะยังมีปัจจัยลบจากสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ที่มีผลต่อเศรษฐกิจในประเทศ ส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภค รวมไปถึงการจับจ่ายใช้สอย แต่เรามองว่า การขยายสาขาครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ปลุกกำลังซื้อสินค้าเรื่องบ้าน เนื่องจากผู้บริโภคจะมีพฤติกรรมกรรมอยู่บ้านมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากนิว นอร์มอลที่มาเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค และเราไม่คิดว่าจะกลับไปสู่การใช้ชีวิตปกติ ดังนั้น การเปิดสาขาครั้งนี้ เราได้วางกลยุทธ์ที่จะจับความต้องการของลูกค้า จัดวางกลุ่มสินค้าของใช้ที่จำเป็น เพื่อความต่อเนื่องให้แก่ลูกค้าในการรองรับโควิด-19"
ที่สำคัญ ยังมีการเปิดสาขาโฮมโปร รังสิต คลอง 4 สาขาแห่งที่ 85 เป็นแลนด์มาร์กแหล่งใหม่ของโซนลูกค้ารังสิต-นครนายก บนพื้นที่กว่า 9,000 ตร.ม. ภายในโครงการมาร์เก็ต วิลเลจ รังสิต ซึ่งจะเป็นสาขาโฮมโปรนำร่อง ในเรื่องการดีไซน์จัดวางสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ผ่านการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคในช่วงที่เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยมีการปรับพื้นที่ให้สินค้ามีความเด่นและชัดเจน โดยเฉพาะโซนสินค้าเครื่องใช้ในบ้าน Home Organize จัดระเบียบบ้าน ใช้งานง่าย เคลื่อนย้ายสะดวก และโซนครัว มีบริการ Kitchen Design Center หรือดีไซน์ตกแต่งห้องครัวให้แก่ลูกค้าได้เห็น เพื่อตอบโจทย์พื้นที่บ้านแนวราบและทาวน์โฮม และจะนำรูปแบบจากแนวคิดดังกล่าวไปปรับใช้กับสาขาอื่นๆ
รวมถึงการส่งเสริมผลักดันให้สินค้า ไพรเวต แบรนด์ ที่โฮมโปรพัฒนาขึ้นมามีสัดส่วนมากขึ้น โดยจัดโซนให้ลูกค้าได้เห็นชัดเจนมากขึ้น เช่น สินค้าในกลุ่มทำความสะอาด ซึ่งจะมีส่วนผลักดันในเรื่องของกำไร รวมถึงการนำพฤติกรรมของลูกค้าในช่วงโควิด-19 มาปรับเป็นกลยุทธ์ เช่น SHOP 4 YOU ชอปง่ายๆ ส่งถึงบ้าน ช่วยลดความหนาแน่นให้แก่ลูกค้า หรือ Fit For you บริการสั่งทำสินค้าตามขนาดที่ลูกค้าต้องการ เป็นต้น
นอจากนี้ ภายในโครงการศูนย์การค้ายังมีร้านอาหารแบรนด์ชั้นนำต่างๆ Homepro และ Top Super Market และร้านค้าปลีกชื่อดังกล่าว 100 ร้านค้า ศูนย์อาหาร Street Food Market (ที่รวมร้านชื่อดังมาให้บริการ) ศูนย์รวมความบันเทิง เป็นต้น
"ที่ดินแปลงนี้ โฮมโปร ซื้อมานานแล้ว และเรายังมีความตั้งใจในการขยายสาขารองรับกำลังซื้อ ผลักดันให้เป็นสาขาเกรด A ซึ่งจุดแข็งของโฮมโปร มีฐานลูกค้าที่มาก มีทั้งโฮมโปรการ์ดไม่ต่ำกว่า 4 ล้านใบ และลูกค้าที่มีความเคลื่อนไหวในไลน์ของโฮมโปร 4 ล้านคน ทำให้เรามีโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า เนื่องจากเรารับฟังลูกค้าและเข้าถึงได้ตรง และแม้การแข่งขันในโซนนี้จะมี แต่เชื่อว่าโฮมโปรจะหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่ ทั้งนี้ สาขาใหม่คาดมียอดใช้จ่ายต่อคนต่อบิลต่อครั้งในส่วนของสินค้าชิ้นเล็กประมาณ 2,500 บาท ขณะที่โดยภาพรวม หลังผ่านโควิด-19 ยอดขายของโฮมโปรเพิ่มขึ้นมากกว่า 8 เปอร์เซ็นต์ พร้อมพยายามเสริมเติมสินค้านวัตกรรมใหม่เพิ่มขึ้น 10-15% และผลักดันสินค้าในกลุ่มเฮาส์แบรนด์จากสัดส่วน 22% ดันเป็น 25% ตามเป้าหมายที่วางไว้"
สำหรับเป้าหมายผลประกอบการตลอดปี 2564 คาดว่ารายได้จะอยู่ในกรอบ 69,000 ล้านบาท เนื่องจากแผนธุรกิจยังคงเดินตามแนวทางที่วางไว้หลังจากโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ซึ่งในเดือนพฤศจิกายนยังคงมีการลงทุนเปิดสาขาโฮมโปรสุขสวัสดิ์ สาขาที่ 86 การจัดงานโฮมโปรเอ็กซโป ณ เมืองทองธานี ยอดขายจากการเปิดให้บริการอีกครั้งของโฮมโปรทั้ง 6 สาขาในประเทศมาเลเซีย รวมถึงกลยุทธ์ทางการตลาดทางด้านออนไลน์ที่จะมาเสริมยอดขายอีกทาง
ในส่วนของผลการดำเนินงานรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ย.) มีรายได้รวมและกำไรสุทธิเป็นจำนวน 45,740.09 ล้านบาท และ 3,609.72 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 9.41% และ 18.49% ตามลำดับ ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการปิดสาขาที่ประเทศไทยและมาเลเซียในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ถือเป็นช่วงโลว์ซีซันของธุรกิจค้าปลีก เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝน สำหรับกำไรขั้นต้นของบริษัทฯ ยังคงได้รับผลกระทบจากยอดขายกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ยังคงมีการเติบโต โดยกลุ่มสินค้าดังกล่าวมีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำ เช่น กลุ่มเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในครัว เป็นต้น