นายประกอบ เพียรเจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าบรรษัทขนาดใหญ่ และรักษาการผู้บริหารสายงานวาณิชธนกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เปิดเผยว่า ธนาคารดำเนินนโยบายการเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ยั่งยืนในด้านของ ESG (Environmental (E) หรือสิ่งแวดล้อม Social (S) หรือสังคม Governance (G) หรือธรรมาภิบาล) ที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง และได้ตั้งเป้าหมายเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ยั่งยืนในด้านของ ESG ที่สุดในประเทศไทยภายในระยะเวลา 3 ปีจากนี้ (ภายในปี 2566)
"การที่ธนาคารมีกลุ่ม MUFG ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้าน ESG ส่งผลให้ธนาคารกรุงศรีมีความพร้อมในการปล่อยสินเชื่อที่สนับสนุน ESG และตราสารหนี้ที่เกี่ยวกับ ESG โดยเฉพาะในช่วงปี 2564 แนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อและตราสารหนี้ด้าน ESG มีเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งธนาคารมองว่าจะเติบโตสูงถึง 100% โดยหลักจะอยู่ในกลุ่มธุรกิจไฟฟ้า โครงสร้างพื้นฐาน รถยนต์ เป็นต้น"
พร้อมกันนั้น ธนาคารกรุงศรีได้กำหนดเป้าหมายสู่ความยั่งยืนในปี 2563 โดยคำนึงถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ตามแนวทางให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ และปรับปรุงการควบคุมภายในอย่างมีประสิทธิภาพควบคู่ไปกับการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส และสอดคล้องต่อแนวปฏิบัติของ MUFG เช่น ในปีนี้ได้กำหนดเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก 7.5 ล้านกิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าเพื่อส่งเสริมการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ รวมถึงอบรมให้ความรู้แก่พนักงานด้าน ESG เป็นต้น
สำหรับแนวโน้มดอกเบี้ยของตราสารหนี้ที่เป็น ESG นั้น ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวอยู่ในอัตราค่อน้างสูงไม่ได้ถูกกว่าอัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้ปกติอย่างมีนัยสำคัญ และอัตราดอกเบี้ยจะถูกจำกัดด้วยเครดิตเรตติ้ง แต่ประเด็นที่สำคัญก็คือ ความต้องการที่มีสูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีการให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นมิตรกับโลกและสิ่งแวดล้อมต่างๆ โดยธุรกิจขนาดใหญ่เริ่มมีข้อกำหนดให้มีสัดส่วนในการถือ ESG BOND ซึ่งจะทำให้ตลาด ESG BOND สามารถขยายฐานได้กว้างขึ้นมาก ซึ่งก็จะกระตุ้นในด้านผู้ออกตราสารให้เพิ่มมากขึ้นด้วยในอนาคต
สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ การออก ESG BOND ธนาคารและธนาคารพันธมิตรได้มีการร่วมกันออก ESG BOND มูลค่ารวม 37,000 ล้านบาท คาดว่าสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 60,000 ล้านบาท ส่วนธนาคารกรุงศรีฯ ยังคงเดินหน้าในการเป็นผู้ร่วมจัดจำหน่าย ESG BOND ต่อเนื่อง คาดว่าในระยะเวลา 3 ปี มูลค่าตราสารหนี้ดังกล่าวภายใต้การบริหารของธนาคารกรุงศรีฯจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 10%
นายประกอบ กล่าวว่า ยอดการออกหุ้นกู้และการปล่อยสินเชื่อในระบบปีนี้ ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 แต่ในช่วงปีหน้า เชื่อว่าการเติบโตจะกลับมา แต่โดยปกติหุ้นกู้จะเติบโตมากกว่าสินเชื่ออยู่แล้ว ดังนั้น หุ้นกู้ ESG มีโอกาสที่จะเติบโตมากกว่าสินเชื่อ ESG แน่นอน