ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) พร้อมเคาะระฆังนำหุ้นเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ในวันที่ 29 ต.ค.นี้ หลังนักลงทุนตอบรับจองซื้อหุ้น IPO สุดล้นหลาม ผู้บริหารเดินหน้าเร่งแผนลงทุนขยายฐานการผลิตแห่งใหม่และเพิ่มไลน์สินค้า หนุนศักยภาพการผลิตฟิล์มหดรัดรูปแบบครบวงจร ช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าและภาพลักษณ์แบรนด์ รับแนวโน้มตลาดเติบโตต่อเนื่อง แม้เกิดวิกฤตโควิด-19 มั่นใจแนวโน้มผลงานปีนี้เติบโตเป็นเลข 2 หลัก
นายซุง ชง ทอย ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SFT หนึ่งในผู้นำการให้บริการ Labeling Solutions แบบครบวงจร ด้วยผลิตภัณฑ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูปในภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ในวันที่ 29 ตุลาคม 2563 โดยใช้ชื่อหลักทรัพย์ ‘SFT’ ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องจากบริษัทฯ มีศักยภาพการดำเนินธุรกิจที่ดี จากจุดแข็งด้านประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมผลิตฉลากฟิล์มหดรัดรูปมานานกว่า 12 ปี ซึ่งเข้าไปช่วยตอบโจทย์ทางการตลาดด้านการสร้างภาพลักษณ์และมูลค่าให้แก่แบรนด์สินค้า (Brand Identity) ผ่านการให้บริการฉลากฟิล์มหดรัดรูปแบบครบวงจร ทำให้ SFT ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาอย่างยาวนาน
ปัจจุบัน อุตสาหกรรมการพิมพ์ฉลากฟิล์หดรัดรูปในประเทศไทยมีอัตราขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยประเมินว่าปีนี้จะเติบโตประมาณ 5% แม้จะมีปัจจัยลบจากโควิด-19 ก็ตาม เนื่องจากไทยถือเป็นฐานการผลิตสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่มเพื่อส่งไปจำหน่ายต่างประเทศ ส่งผลต่อความต้องการฉลากฟิล์มหดรัดรูปถูกนำไปใช้สร้างแบรนด์สินค้าเพิ่มขึ้น ประกอบกับคุณสมบัติผลิตภัณฑ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูป ยังนำไปใช้ทดแทนฉลากประเภทอื่นๆ
ดังนั้น จึงเป็นโอกาสของ SFT ที่มีความสามารถด้านการผลิตด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ทั้งระบบการพิมพ์แบบ กราเวียร์และแบบดิจิทัล จึงสามารถตอบสนองความต้องการฉลากฟิล์มหดรัดรูปของลูกค้า ทั้งในด้านคุณภาพ ปริมาณและความรวดเร็ว โดยบริษัทฯ มีแผนก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 185 ล้านเมตรต่อปี จากเดิมมีกำลังการผลิต 133 ล้านเมตรต่อปี รวมถึงเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น ฟิล์มหดรัดรูปในกลุ่มฟิล์มใสที่มีความหดตัวสูง (POF Shrink Film) และกลุ่มบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) ส่งผลให้ฟิล์มหดรัดรูปของ SFT เข้าไปช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่แบรนด์ของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
ส่วนเป้าหมายปีนี้ SFT มั่นใจว่าจะเติบโตเป็นเลข 2 หลัก หรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% แม้มีสถานการณ์โควิด-19 และปัจจัยความอ่อนไหวทางด้านการเมือง หลังภาพรวมการดำเนินงานช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ (มกราคม-มิถุนายน 2563) SFT สามารถทำรายได้รวม 330.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.05% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีกำไรจากการดำเนินงาน 49.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน
“เรามีเป้าหมายที่จะเป็นหนึ่งในผู้นำการให้บริการ Labeling Solutions แบบครบวงจร ด้วยผลิตภัณฑ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูปในภูมิภาคอาเซียน โดยความมุ่งมั่นนำเสนอสินค้าและบริการที่ครบวงจรเข้าไปช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่แบรนด์สินค้าของลูกค้าทั้งรายเดิมและขยายฐานลูกค้ารายใหม่ๆ เพิ่มเติม ส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของเราเติบโตได้อย่างยั่งยืน” นายซุง ชง ทอย กล่าว
นายคมกฤต มีคำสัตย์ กรรมการผู้จัดการ สายงานตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น กล่าวว่า SFT เป็นบริษัทที่มีศักยภาพดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง จากการเป็นหนึ่งในผู้นำการให้บริการ Labeling Solutions ด้วยผลิตภัณฑ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูปแบบครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ การเลือกรูปทรงบรรจุภัณฑ์และการออกแบบฉลากผลิตภัณฑ์ รวมถึงให้คำปรึกษาด้านเทคนิคการหดตัวของฉลากฟิล์ม (ชริ้ง) เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ความงามและของใช้ในครัวเรือน
ทั้งนี้ SFT ยังเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทางธุรกิจ จากแผนลงทุนขยายกำลังการผลิตและเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ช่วยให้ประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุนด้านการผลิตที่ดี รวมถึงแนวทางดำเนินงานที่มีทีมบุคลากรทำงานร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อพัฒนาฉลากฟิล์มหดรัดรูปให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ของลูกค้า มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้แบรนด์สินค้า เป็นผลให้ที่ผ่านมา SFT ได้รับความไว้วางใจจากผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายมายาวนาน เช่น บริษัท โออิชิ เทรดดิ้ง จำกัด บมจ.อิชิตัน กรุ๊ป บมจ.ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง บริษัท คอสมอส บริวเวอรี่ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด เป็นต้น
และด้วยปัจจัยดังกล่าว ทำให้ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของ SFT มีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2560-2562) มีอัตราเติบโตของกำไรสุทธิเฉลี่ย (Compound Average Growth Rate : CAGR) ร้อยละ 70.65 สะท้อนความแข็งแกร่งด้านผลประกอบการ ส่งผลให้การเปิดจองซื้อหุ้น IPO จำนวน 120 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 19-22 ตุลาคมที่ผ่านมา ในราคาหุ้นละ 3.80 บาท ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก โดยพบว่า หุ้นที่จัดสรรให้แก่นักลงทุนสถาบันจำนวน 30% ของจำนวนหุ้น IPO ทั้งหมด มีไม่เพียงพอต่อความต้องการซื้อ จึงเชื่อมั่นว่า เมื่อ SFT เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอนั้น จะเป็นหุ้น Growth Stock ที่ได้ความสนใจจากนักลงทุนอย่างแน่นอน