“พลัส พร็อพเพอร์ตี้” เผยผลสำรวจตลาดอสังหาฯ ปลายปี พบกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่-บางนา รามอินทรา ทำเลมาแรง เหตุเป็นประตูเชื่อมสู่ EEC ชี้ระบบขนส่งรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายหนุน ขณะโซนรอบนอกวงแหวนใกล้ทางด่วนทำเลน่าสนใจ วอนรัฐออกยาแรงกระตุ้นตลาดโค้งสุดท้าย ครอบคลุมทุกระดับราคา ระบุไตรมาสสุดท้ายปี 63 แนวโน้มทรงตัว มั่นใจแนวราบ “บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม” ตัวขับเคลื่อนตลาด
น.ส.สุวรรณี มหณรงค์ชัย รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนากลยุทธ์และบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า จากการสำรวจของฝ่ายวิจัยและพัฒนา พลัสฯ คาดว่าไตรมาสที่ 4/63 ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงทรงตัว เมื่อเทียบปีที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงครึ่งปีแรก ประกอบกับการเข้มงวดปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทอสังหาฯ ทั้งแนวราบและแนวสูงต้องปรับแผนธุรกิจ เลื่อนแผนการพัฒนาโครงการใหม่ หันมาเร่งระบายอุปทานคงค้างในตลาดด้วยการแข่งขันทางด้านราคาในช่วงครึ่งปีแรก เพื่อรักษาสภาพคล่องของธุรกิจ นอกจากนี้ ภาวะการแข่งขันในตลาดแนวราบจะมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดระดับราคาปานกลางอย่างเช่นทาวน์โฮม เนื่องด้วยผู้ประกอบการเล็งเห็นว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคในขณะนี้มีทีท่าลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องพัฒนาสินค้าออกมาในราคาถูกลงเพื่อเข้าถึงผู้ซื้อได้มากขึ้น
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ช่วงครึ่งปีแรก ยอดขายโดยรวมลดลง ในส่วนของบ้านเดี่ยวพบว่าซัปพลายเสนอขายรวมทั้งสิ้น 14,082 ยูนิต ลดลง 8% ดีมานด์มีจำนวนทั้งสิ้น 5,115 ยูนิต ลดลง 4% คิดเป็นอัตราการขายเท่ากับ 36% ขณะที่ทาวน์โฮมมีซัปพลายเสนอขายรวมที่ 31,211 ยูนิต ลดลง 6% ในขณะที่ดีมานด์มีจำนวนทั้งสิ้น 12,248 ยูนิต ลดลง 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า คิดเป็นอัตราการขายเท่ากับ 39% และคอนโดมิเนียมมีซัปพลายเสนอขายลดลง 8% หรือมีจำนวนทั้งสิ้น 104,094 ยูนิต ในขณะที่ดีมานด์ลดลง 28% หรือเกิดขึ้นเพียง 17,074 ยูนิต คิดเป็นอัตราการขายเท่ากับ 16% ส่วนโครงการแนวราบ พบว่า ได้รับการตอบรับที่ดีกว่าโครงการแนวสูง ทำให้ช่วงปลายปีเราจะเห็นการนำเสนอสินค้าที่เจาะไปยังกลุ่มตลาดแนวราบมากขึ้น
จากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน คาดว่าการฟื้นตัวของภาคอสังหาฯ จะขึ้นอยู่กับการบรรเทาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค สภาวะเศรษฐกิจ และตลาดอสังหาฯ ให้กลับมาอยู่ในสภาวะปกติ รวมทั้งเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องเฝ้าติดตาม เพื่อประเมินสถานการณ์เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เหลือของปีนี้มองว่าตลาดแนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมจะยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดต่อไป โดยมองว่าผู้ประกอบการจะปรับตัวไปเปิดโครงการที่ตอบโจทย์กลุ่มเรียลดีมานด์มากขึ้น ส่วนทาวน์โฮมมองว่าน่าจะมีกำลังซื้อจากกลุ่มผู้บริโภคที่เปลี่ยนใจจากคอนโดมิเนียมมาเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบเนื่องจากการเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หลังจากการระบาดของโควิด-19 รวมถึงได้อานิสงส์จากรถไฟฟ้าหลายเส้นทางที่จะเปิดให้บริการเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีที่จะทำให้เกิดการเชื่อมต่อของการเดินทางที่สะดวกขึ้น
ส่วนทำเลที่มีความโดดเด่นน่าจับตาคือ ย่านกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ เนื่องจากเป็นทำเลเปิดใหม่และมีถนนทางเชื่อมการเดินทางเข้าสู่พื้นที่รามคำแหง พระราม 9 อีกทั้งยังสามารถเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิได้สะดวกรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่บริเวณบางนาซึ่งได้รับปัจจัยบวกจากโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และบริเวณรามอินทรา รวมไปถึงทำเลแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายและแนวรอบนอกวงแหวนซึ่งสามารถเดินทางเข้าเมืองได้สะดวก
“อย่างไรก็ตาม ไตรมาสสุดท้ายนี้หากได้รับการช่วยเหลือเยียวยาก็น่าจะเป็นโอกาสให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และมีการกระจายรายได้ขึ้นมา และหากมีมาตรการมาช่วยกระตุ้นกำลังซื้อหรือแบ่งเบาภาระของผู้ซื้อจะเป็นผลบวกต่อตลาด เช่น ขยายการลดการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนอง 0.01% ให้ครอบคลุมทุกระดับราคา ตลอดจนมาตรการดอกเบี้ยพิเศษคงที่ และหากมีมาตรการลดหย่อนภาษีจะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อผู้บริโภคได้มากขึ้น” น.ส.สุวรรณี กล่าว