กลางสัปดาห์ก่อน นักลงทุนคาดหวังกันว่า ตลาดหุ้นมีโอกาสพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 1,300 จุด แต่หลังการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎร ดัชนีหุ้นปักหัวลงวันนี้เกรงกันว่า อาจจะทรุดต่ำกว่า 1,200 จุด
สถานการณ์การเมืองกลายเป็นปัจจัยชี้นำตลาดหุ้นอย่างเต็มตัว และมีน้ำหนักมากกว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาสที่ 3 ซึ่งกำลังทยอยประกาศเสียอีก
เพราะนักลงทุนใช้ความเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นสิ่งอ้างอิงการตัดสินใจซื้อขายหุ้นแต่ละวัน โดยหากกระแสม็อบร้อนแรงขึ้น จะพากันเทขายหุ้นออก หรือชะลอการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง
หุ้นที่ตกรูดมาหลายวัน เกิดจากผลกระทบการชุมนุมโดยตรง จนหวิดจะหลุด 1,200 จุด ระหว่างชั่วโมงซื้อขายวันอังคารที่ 20 ตุลาคมที่ผ่าน โดยลงไปที่ระดับ 1,202 จุด ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดในรอบนี้
สำนักวิเคราะห์หลักทรัพย์โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ประเมินว่า ดัชนีหุ้นมีสิทธิที่จะไหลลงไปต่ำกว่า 1,200 จุด แต่ยังมองโลกในแง่ดี โดยเชื่อว่า ระดับ 1,150 จุด น่าจะยืนอยู่ได้
แต่สิ่งที่คาดเดาไม่ได้คือ สถานการณ์การเมืองจะเดินต่อไปอย่างไร จบในรูปแบบใด การชุมนุมยืดเยื้อยาวนานขนาดไหน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีจะลาออกหรือไม่ และถ้าประกาศลาออก ม็อบจะสงบหรือไม่
ความไม่แน่นอนในสถานการณ์การเมือง ทำให้ไม่สามารถคาดเดาทิศทางตลาดหุ้นได้ นอกจากเฝ้าดูกันวันต่อวันเท่านั้น
แนวโน้มการลงทุนปลายปียังอยู่ในช่วงขาลง เนื่องจากถูกปัจจัยลบปกคลุมรอบด้าน ทั้งวิกฤตโควิด-19 ที่ระบาดทั่วโลก ทั้งการเมืองในประเทศที่ยังมองไม่เห็นทางออก และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ชะลอตัวลง ซึ่งยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวในอนาคตอันใกล้
ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นที่ย่ำแย่ อาจมีเสียงปลอบจากโบรกเกอร์หลายสำนักว่า จะเกิดขึ้นต่อเนื่องถึงไตรมาสที่ 4 ปีนี้เท่านั้น โดยไตรมาสแรกปีหน้าจะเริ่มกระเตื้องขึ้น
แต่มีคำถามว่า มีสิ่งบ่งชี้อะไรที่นำไปสู่การคาดการณ์ว่า ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนปีหน้าจะดีขึ้น และความตกต่ำจะเกิดเพียงระยะสั้นเฉพาะในปีนี้เท่านั้น
มีหลายมุมมองที่เชื่อว่า เศรษฐกิจโลกจะใช้เวลาอีกหลายปีจึงฟื้น ส่วนเศรษฐกิจไทยอาจฟุบยาว เช่นเดียวกับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่อาจทรุดอย่างถาวรติดต่อหลายปี โดยเฉพาะหากการเมืองไม่สงบ
ราคาหุ้นที่ลงมาระดับ 1,200 จุด นักลงทุนไม่ควรมองโลกสวย เหมือนที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์หลายคนมอง โดยมีความเห็นว่า ราคาหุ้นได้ซึมซับรับข่าวร้ายไปหมดแล้ว จึงไม่น่าจะลงต่อ และแนะนำให้นักลงทุนทยอยซื้อหุ้นเก็บ
แต่คำแนะนำให้ทยอยซื้อหุ้นเก็บ ทำให้นักลงทุนรายย่อยในประเทศต้องติดหุ้นต้นทุนสูงกันแทบทั้งตลาด และกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ท่ามกลางภาวะตลาดหุ้นขาลง โดยปีนี้ซื้อหุ้นสุทธิไปแล้วประมาณ 2.25 แสนล้านบาท
ตลาดหุ้นระยะสั้น ยังอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงจากสถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอน และไม่อาจคาดการณ์ใดๆ ได้ โดยหุ้นพร้อมจะผันผวน หากสถานการณ์ม็อบเลวร้ายลง หรือลุกลามบานปลายจนเกิดเหตุการณ์ความรุนแรง
ท่ามกลางบรรยากาศการลงทุนที่คลุกฝุ่น ไม่มีสัญญาณบวก มีแต่ปัจจัยลบปกคลุม ขณะที่หุ้นเปราะบางต่อผลกระทบ โดยพร้อมจะดิ่งลงอีก นักลงทุนจึงควรถอยออกมายืนสังเกตการณ์อยู่รอบนอก
รอจนกว่าม็อบเด็กจะจบ รอให้การเมืองได้ข้อยุติ จึงกลับเข้ามาในตลาดหุ้นใหม่ และมีหุ้นติดมือให้น้อยที่สุด หรือไม่มีหุ้นในพอร์ตเลยยิ่งดี