“พีดีเฮ้าส์” เผยไตรมาส 3/63 ยอดจองสร้างบ้านพุ่ง 30-40% จากไตรมาส 2 ระบุบ้านกลุ่มบน 10-20 ล้านบาทโตกระฉูด คาดเกิดจากเจ้าของธุรกิจมีเวลาว่างมากขึ้น หลังโควิด-19 ทำธุรกิจชะลอดำเนินงาน และการทำตลาดผ่านระบบออนไลน์ส่งผลให้เข้าถึงลูกค้าได้เพิ่มขึ้น กังวลไตรมาส 4 กำลังซื้อหดตัว หลังหมดมาตรการเยียวยาจากภาครัฐ การแข่งขันรุนแรงจากการเกิดใหม่ของรับสร้างบ้านรายเล็กและรายย่อย คาดยอดขายทั้งปี 1,000 ล้านบาท ต่ำกว่าที่วางไว้ 1,200 ล้านบาทในช่วงต้นปี
นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานกรรมการ บริษัท พีดี เฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ให้บริการแฟรนไชส์ “PD House” กล่าวถึงผลดำเนินงานในไตรมาสที่ 3/63 ว่า ในไตรมาสนี้ยอดจองสร้างบ้านเติบโตขึ้น 30-40% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โดยเป็นการเติบโตจากยอดจองสร้างบ้านในกลุ่มตลาดระดับบนกลุ่มบ้านราคา 10-20 ล้านบาทเป็นหลักในสัดส่วน 60% ขณะที่ยอดจองสร้างบ้านเกิดจากกลุ่มสินค้าหลัก กลุ่มบ้านระดับราคา 5-10 ล้านบาทในไตรมาสที่ 3 มีสัดส่วนอยู่ที่ 20% และกลุ่มบ้านระดับราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท มีสัดส่วนที่ 20%
จากสถานการณ์การจองสร้างบ้านในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา วิเคราะห์ได้ว่ากลุ่มลูกค้าในตลาดกลางและล่างมีการชะลอตัวลงไปบ้าง ขณะที่กลุ่มลูกค้าตลาดบนมีการตัดสินใจจองสร้างบ้านเร็วขึ้น ส่วนหนึ่งคาดว่าเกิดจากลูกค้าระดับบน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเจ้าของธุรกิจ ซึ่งช่วงนี้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อโควิด-19 มีเวลาว่างมากขึ้น หลังจากที่หลายธุรกิจมีการชะลอตัว ทำให้มีเวลาในการตัดสินใจสร้างบ้านมากขึ้น
นอกจากนี้ การเติบโตของยอดจองซื้อในช่วงไตรมาส 3 ยังเกิดจากการทำตลาดผ่านสื่อออนไลน์ ซึ่งบริษัทเริ่มต้นทำตลาดผ่านสื่อออนไลน์มาค่อนข้างนานทำให้มีฐานลูกค้าและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทั่วประเทศมากกว่าคู่แข่ง โดยกลุ่มลูกค้าได้เข้ามาขอข้อมูลในการสร้างบ้านตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 2 เป็นจำนวนมาก และมีการทยอยตัดสินใจปลูกสร้างบ้านในไตรมาส 3 ส่งผลให้มีการตัดสินใจสร้างบ้านในไตรมาสนี้ทำให้มียอดจองปลูกสร้างบ้านเติบโตจากไตรมาสก่อนหน้าค่อนข้างมาก
“โดยปกติแล้วในช่วงไตรมาสที่ 3 เป็นช่วงโลว์ซีซันของการปลูกสร้างบ้าน เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝนการก่อสร้างทำได้ลำบาก ประกอบกับเป็นช่วงเข้าพรรษา ซึ่งลูกค้าไม่นิยมปลูกสร้างบ้านในช่วงดังกล่าว แต่ในปีนี้ตลาดมีความต่างออกไป เนื่องจากมีการตัดสินใจซื้อในช่วงนี้มากกว่าปกติ“
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของจำนวนลูกค้าในกลุ่มตลาดระดับบนราคา 10-20 ล้านบาท ทำให้พีดีเฮ้าส์ ต้องมีการปรับตัวมากขึ้นเนื่องจากลูกค้าในตลาดนี้มีความต้องการสูง จากเดิมที่มีแบบบ้านที่ออกแบบไว้รองรับความต้องการของลูกค้าอยู่แล้ว ก็ต้องมีการเพิ่มทางเลือกให้แก่ลูกค้ามากขึ้น เช่น การปรับแบบตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ไม่ได้ต้องการเพียงแบบบ้านอย่างเดียวแต่ยังต้องการการออกแบบตกแต่งภายในหรือการปรับเปลี่ยนรูปแบบบ้านตามความต้องการลูกค้า
สำหรับตลาดต่างจังหวัด ซึ่งเป็นตลาดหลักของพีดีเฮ้าส์ ต้องยอมรับว่าการทำตลาดผ่านระบบออนไลน์ได้ผลไม่เท่ากับตลาดในกรุงเทพฯ เนื่องจากกลุ่มลูกค้าในต่างจังหวัดมีการหาข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ไม่มากเท่ากับลูกค้าในกรุงเทพฯ โดยสัดส่วนลูกค้าที่ตัดสินจองสร้างบ้านมาจากออนไลน์มีอยู่ประมาณ 40% ขณะที่ลูกค้าที่จองซื้อและหาข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ในกรุงเทพฯ มีสัดส่วนถึง 60%
นายสิทธิพร กล่าวว่า สำหรับตลาดรับสร้างบ้านในไตรมาสที่ 4 นี้ พีดีเฮ้าส์ค่อนข้างกังวลว่ายอดจองซื้อจะหดตัวลงจากไตรมาส 3 บ้าง เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของบริษัทรับสร้างบ้าน ทั้งที่เป็นบริษัทรายย่อย และ กลุ่มวิชาชีพซึ่งแต่ละรายที่เข้าสู่ตลาดใหม่ต่างก็มีเคลมตัวเองว่าเป็นบริษัทรับสร้างบ้าน ขณะเดียวกัน ในการทำตลาดของบริษัทต่างๆ ก็ไม่ได้โฟกัสอยู่ที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแต่จะกระจายกับลูกค้าในทุกกลุ่มไม่มีความชัดเจนทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงในทุกตลาด
นอกจากนี้ ในไตรมาสที่ 4 กำลังซื้อของลูกค้ายังมีแนวโน้มว่าจะลดลงจากช่วงที่ผ่านมาประกอบกับเป็นช่วงเวลาที่มาตรการเยียวยาจากรัฐบาลต่างๆ หมดอายุลง และรัฐบาลไม่มีการต่ออายุมาตรการใหม่ ทำให้แนวโน้มกำลังซื้อลดลงจาก 3 ไตรมาสที่ผ่านมา จากแนวโน้มและปัจจัยลบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาสนี้ส่งผลให้พีดีเฮ้าส์ ประเมินผลดำเนินงานในปีนี้ว่าจะต่ำกว่าเป้าประมาณการ 1,200 ล้านบาท ที่วางไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปี โดยบริษัทคาดว่าตลอดปีนี้จะมียอดขายไม่เกิน 1,000 ล้านบาท