xs
xsm
sm
md
lg

ศิรกรหุ้นเนื้อหอม กองทุน MFC-ยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อม จองซื้อ IPO พร้อมเทรด 8 ต.ค.นี้

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เอกจักร บัวหภักดี
บมจ.ศิรกร (SK) ผู้นำด้านประกอบการธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสาไฟฟ้าและเสาเข็มคอนกรีตอัดแรง รวมถึงการให้บริการรับเหมาก่อสร้างสายส่งและสายจำหน่ายไฟฟ้าและงานรับเหมาก่อสร้างโยธา เนื้อหอมหลังเปิดจองซื้อ IPO กองทุน MFC จองซื้อ 20 ล้านหุ้น และยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อม จองซื้อ 5 ล้านหุ้น จากการเสนอขายหุ้น IPO ทั้งหมด 115 ล้านหุ้น เหตุเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานและศักยภาพในขยายการลงทุนที่มีโอกาสการเติบโตตามนโยบายโครงสร้างพื้นฐาน ด้านอุตสาหกรรมพลังงาน จากการลงทุนของภาครัฐบาล พร้อมลงสนามเทรด 8 ต.ค.นี้ สยายปีกธุรกิจตามแผนยุทธศาสตร์ PDP ประกาศลุยรับงาน กฟผ.-กฟภ. ขนาด 230 KV - 500 KV ในอนาคต

นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด เปิดเผยในฐานะบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินว่า หุ้นบริษัท ศิรกร จำกัด (มหาชน) หรือ SK เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดวัสดุก่อสร้าง วันพรุ่งนี้ (8 ต.ค.) โดยเชื่อว่าหุ้นดังกล่าว จะได้การตอบรับที่ดีจากนักทุน เนื่องจาก “ศิรกร” เป็นหุ้นที่มีศักยภาพความแข็งแกร่งทางธุรกิจ มีโรงงานผลิตและจัดจำหน่ายคอนกรีตอัดแรง 6 แห่ง ที่สามารถกระจายการรองรับ และขยายงานได้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ


ประกอบกับการที่กลุ่มบริษัทฯ มีประสบการณ์ในกลุ่มอุตสาหกรรมยาวนานกว่า 30 ปี ยิ่งเป็นเครื่องการันตีที่สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพความเชื่อมั่นของกลุ่มลูกค้า ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จนเป็นที่ยอมรับ ในการเข้าประมูลงานของทุกภาคส่วนได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับผลกระทบในการเรื่องการส่งมอบของ ซึ่งเป็นผลจากมาตรการล็อกดาวน์ (Lockdown) แต่ก็เชื่อมั่นว่าในครึ่งปีหลังภาพรวมของบริษัทฯ จะกลับมาฟื้นตัวเช่นเดิม เนื่องจากยังมีงานที่รอการส่งมอบอีกกว่า 10 โครงการ คิดเป็นมูลค่างานในมือ (Back log) เกือบ 160 ล้านบาท ซึ่งทยอยรับรู้เกือบทั้งหมดภายในปีนี้ อีกทั้ง ณ สิ้นไตรมาส 2/2563 มีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนเพียง 0.17 เท่า ทำให้เห็นถึงสภาพคล่อง และความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทฯ

ทั้งนี้ ในฐานะบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน มองว่า หุ้น SK จะเป็นหนึ่งใน Growth Stock ที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นและนักลงทุน เนื่องบริษัทฯ มีศักยภาพขยายการลงทุนเพื่อต่อยอดการเติบโตในอนาคต และที่สำคัญ “SK” มีโอกาสการเติบโตตามนโยบายโครงสร้างพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมพลังงาน จากการลงทุนของภาครัฐบาล เพราะ “SK” เป็นผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง และให้บริการรับเหมาก่อสร้างสายส่งและสายจำหน่ายไฟฟ้าและงานรับเหมาก่อสร้างโยธาเฉพาะทาง ที่ต่อยอดโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานได้ชัดเจน

กิตติพันธ์ ภูษณวรรณ
ด้าน กิตติพันธ์ ภูษณวรรณ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน กล่าวเพิ่มเติมว่า จากความแข็งแกร่งทางธุรกิจ ส่งผลให้กระแสตอบรับในการจองซื้อหุ้นประสบความสำเร็จเกินคาด ล่าสุด ปรากฏรายชื่อกลุ่มนักลงทุนที่เข้ามาซื้อหุ้น “SK” ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) “MFC” จำนวน 20,000,000 หุ้น และนายยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อม จำนวน 5,000,000 หุ้น จากหุ้น IPO ทั้งหมด 115,348,120 หุ้น โดยสาเหตุที่กลุ่มนักลงทุนดังกล่าวเข้ามาลงทุนในหุ้น เนื่องจาก “SK” เป็นหุ้นที่มีศักยภาพและพื้นฐานการเติบโตที่แข็งแกร่ง และมีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลต่อเนื่อง โดยจะเห็นจากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีความสามารถในการจ่ายปันผลไปแล้วกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่านโยบายปันผลของบริษัทฯ ที่จ่ายไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ ประกอบกับหากพิจารณาจากอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) ที่ 8 เท่า ในขณะปัจจุบัน P/E Ratio ของบริษัทเทียบเคียงอยู่ที่ 11.38 เท่า ซึ่งต่ำกว่ากลุ่มอย่างมาก

ภากร ตั้งนุกูลกิจ
ขณะที่ นายภากร ตั้งนุกูลกิจ กรรมการบริษัทและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศิรกร จำกัด (มหาชน) หรือ SK กล่าวว่า บริษัทฯ พร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในวันที่ 8 ตุลาคมนี้ ภายใต้ชื่อย่อ “SK” ในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ซึ่งมั่นใจว่าจะสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนได้เป็นอย่างดี โดยบริษัทฯ เตรียมนำเงินที่ได้จากการะดมทุนในครั้งนี้ เพื่อเสริมศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ พร้อมสร้างความแข็งแกร่งด้านเงินทุน และต่อยอดในการขยายธุรกิจ ตามนโยบายการขยายธุรกิจรับเหมาก่อสร้างสายส่งและสายจำหน่ายไฟฟ้าตามแผนยุทธศาสตร์ชาติในการพัฒนาประเทศ ซึ่งบริษัทฯ มีแผนจะเข้าประมูลงานรับเหมาก่อสร้างสายส่งและสายจำหน่ายไฟฟ้า และงานรับเหมาก่อสร้างโยธาทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชนเพิ่มขึ้น


อีกทั้งยังมีแผนที่จะลงทุนเครื่องจักร อุปกรณ์ และรถขนส่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตรองรับโอกาสในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต และเพื่อเพิ่มศักยภาพของธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตและการขนส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าในอนาคตได้มากขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทฯ วางกลยุทธ์การเติบโตในอนาคตผ่านธุรกิจรับเหมาเป็นหลัก ทั้งธุรกิจรับเหมางานสายส่งและสายจำหน่ายไฟฟ้า และธุรกิจรับเหมาก่อสร้างโยธา โดยคาดจะได้รับผลบวกตามแผนการเร่งลงทุนภาครัฐที่สูงขึ้นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะธุรกิจรับเหมางานด้านไฟฟ้า ซึ่งบริษัทฯ มองว่ายังมีโอกาสขยายตัวอีกมากตามแผนเชิงยุทธศาสตร์ของ กฟภ. และแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP) ของ กฟผ. เพื่อเพิ่มการเข้าถึงและเพิ่มประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้าของประเทศ ปัจจุบันบริษัทดำเนินงานรับเหมาสายส่งขนาด 230 KV ผ่าน Consortium โดยหลังจากที่โครงการดังกล่าวเสร็จสิ้น บริษัทฯ คาดจะสามารถเข้าประมูลงานขนาด 230 KV ได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องผ่าน Consortium ทำให้เปิดโอกาสในการรับงานมากขึ้นในอนาคต