“พฤกษา เรียลเอสเตท” ปรับแผนลงทุนครั้งใหญ่ ลดลงทุนบ้านแนวราบ-คอนโดตลาดล่าง ขยายพอร์ตบ้านเดี่ยวตลาดกลาง-บน 5-15 ล้านบาท วางพอร์ตบ้านเดี่ยวอนาคตสัดส่วน 30-30-30 จาก 3 แบรนด์ เดอะแพลนท์-ภัสสร-เดอะปาร์ม พร้อมดึงเอเยนซีข้ามชาติช่วยระบายคอนโดฯ ตั้งเป้าครึ่งปีหลังระบายสต๊อกพร้อมอยู่ 5,000-7,000 ล้านบาท แจงครึ่งปีระบายสต๊อกพร้อมออกกว่า 80% เตรียมแผน 3 ปีรองรับลูกค้าจีน ล่าสุด เปิดตัว เดอะปาร์ม บ้านเดี่ยวตลาดบน มูลค่า 1,800 ล้านบาท
นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรกสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้บริษัทหยุดการพัฒนาโครงการใหม่ และหันมาเน้นการระบายสต๊อกออกไปเพื่อเก็บเงินสดไว้ในมือ ซึ่งการเน้นระบายสต๊อกเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีการเปิดโครงการใหม่ในครึ่งปีแรก ทำให้พฤกษาฯ ยอดขายดร็อปลงไป นับว่าเป็นการโฟกัสผิดจุดไปเล็กน้อย ดังนั้น ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ บริษัทจึงได้กลับมาเร่งการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการเปิดตัวโครงการในกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับกลาง-บน ซึ่งเป็นตลาดที่มีอัตราการขยายตัวที่ดี เพื่อขับเคลื่อนรายได้ให้แก่องค์กร ที่สำคัญเป็นตลาดที่พฤกษาฯ มีความชำนาญ
ส่วนโครงการแนวราบในกลุ่มทาวน์โฮมซึ่งเจาะกลุ่มตลาดล่าง 2-3 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดที่ลูกค้าได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมสินเชื่อใหม่ หรือ LTV และสถานการณ์โควิด-19 นั้น พฤกษาฯ พยายามเร่งปิดการขายโครงการที่เปิดตัวและอยู่ระหว่างการขายออกไปให้เร็วที่สุด เพื่อปรับลดพอร์ตสินค้าในตลาดล่างลง โดยปัจจุบันพอร์สินค้าในตลาดล่างมีสัดส่วนมากที่สุดอยู่ที่ 50% ขณะที่พอร์ตบ้านในตลาดกลางและตลาดระดับบนมีสัดส่วนประมาณ 50% ซึ่งนับจากครึ่งหลังของปีนี้ พฤกษาฯ จะเร่งเพิ่มพอร์ตสินค้าบ้านในตลาดบนเพิ่มากขึ้น สำหรับพอร์ตสินค้าบ้านเดี่ยว ซึ่งจะเป็นกลุ่มสินค้าที่จะเร่งเปิดตัว ส่วนใหญ่ยังคงเป็นบ้านระดับ 3-5 ล้านบาท ส่วนแบรนด์เดอะแพลนท์ โดยบ้านเดี่ยวแบรนด์ภัสสร มีสัดส่วน 25% และแบรนด์ เดอะปาร์ม มีสัดส่วน 25% ซึ่งนับจากครึ่งหลังของปีนี้เป็นต้นไป บริษัทจะทยอยปรับเพิ่มสัดส่วนกลุ่มบ้านในตลาดกลาง-บนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้อนาคตพอร์ตบ้านเดี่ยวจะมีสัดส่วนเป็น 30-30-30
“ส่วนกลุ่มคอนโดมิเนียมนั้นมีการปรับพอร์ตสินค้าใหม่เช่นเดียวกับกลุ่มแนวราบ โดยจะลดพอร์ตสินค้าคอนโดฯ ระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีพอร์ตสินค้าในตลาดนี้อยู่ 80% และหันไปเพิ่มพอร์ตสินค้าตลาดกลาง-บน ห้องชุดระดับราคา 3-5 ล้านบาท และห้องชุดราคา 5-7 ล้านบาท”
ทั้งนี้ การลดพอร์ตสินค้าในตลาดล่าง และหันมาเพิ่มพอร์ตในตลาดบ้านเดี่ยวกลาง-บนเพิ่มมากขึ้นนั้นจะทำให้การเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงไป 30-40% ซึ่งการลดลงของโครงการใหม่นี้ไม่ได้ส่งผลต่อยอดขายและเป้าหมายรายได้ของบริษัท เนื่องจากโครงการที่เปิดใหม่แม้มีจำนวนน้อยแต่มีมูลค่าโครงการเพิ่มขึ้น สำหรับขนาดโครงการบ้านเดี่ยวจะไม่เน้นโครงการขนาดใหญ่มาก แต่จะเน้นไปที่ทำเลและศักยภาพของโครงการและกลุ่มลูกค้าโดยขนาดของโครงการใหม่ในตลาดกลาง-บน จะเน้นเปิดโครงการบนขนาดพื้นที่ 30-40 ไร่ หรือจำนวนบ้านในโครงการอยู่ที่ 200-300 ยูนิต
“นอกจากนี้ เพื่อรองรับการกลับมาของดีมานด์จีนในอนาคต พฤกษาฯ ยังมีการเตรียมแผนและความพร้อมล่วงหน้า โดยในส่วนของโครงการประเภทคอนโดฯ มีการวางแผนระยะยาวถึง 3 ปี ส่วนในกลุ่มโครงการแนวราบนั้นมีการเตรียมการเพียงแค่ระยะสั้นๆ
1 ปี เนื่องจากลูกค้าต่างชาติโดยมากจะนิยมซื้อห้องชุดเพราะมีเงื่อนไขน้อยกว่าการซื้อบ้านแนวราบ”
ทั้งนี้ นอกจากปรับพอร์ตสินค้าใหม่แล้ว ในด้านการตลาดพฤกษาฯ ยังมีการลดต้นทุน โดยการใช้เอาต์ซอร์สเข้ามาช่วย เช่น การใช้เอเยนซีต่างชาติในการช่วยขายโครงการคอนโดฯ แต่จะคัดกรองและเลือกเอเยนซีที่มีศักยภาพมากขึ้น ขณะเดียวกัน ก็มีการจับมือกับเอเยนซีที่มีแพลตฟอร์มในการขาย ซึ่งพฤกษาได้ร่วมกันศึกษาและพัฒนาแพลตฟอร์มที่ทำให้สามารถตอบโจทย์และเป็นช่องทางการขายในตลาดต่างชาติได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ยอดขายและโอนในกลุ่มต่างชาติยังมีความต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ก็ใช้ดิจิทัลมาร์เกตติ้งเข้ามาใช้ในการทำตลาดในประเทศ โดยเฉพาะดิจิทัล เอไอ ซึ่งได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี
ปรับแผนลงทุนครึ่งปีหลัง
นายปิยะ กล่าวว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจหดตัว และการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในช่วงครึ่งปีแรก ไตรมาสแรก พฤกษาฯ มีการเปิดตัวทาวน์เฮาส์ 3 โครงการ และเปิดตัวคอนโดฯ 2 โครงการ มูลค่ารวม 5,180 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 2 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการล็อกดาวน์ประเทศ ทำให้พฤกษาฯ ตัดสินใจไม่เปิดตัวโครงการใหม่และหันไปเน้นระบายสต๊อกคงค้าง ซึ่งทำให้ยอดขายของบริษัทลดลง ดังนั้น ครึ่งหลังของปีจึงมีการปรับแผนเร่งเปิดโครงการบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้น โดยในครึ่งหลังปี 63 นี้ พฤกษาฯ มีแผนเปิดตัวใหม่ 7 โครงการ แบ่งเป็นสินค้าแนวราบ 6 โครงการ กับคอนโดฯ 1 โครงการ มูลค่ารวมกัน 8,780 ล้านบาท ซึ่งทำให้ตลอดทั้งปี 63 นี้ พฤกษาฯ จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่รวม 12 โครงการ มูลค่ารวม 13,960 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ผลจากการเร่งระบายสต๊อกในครึ่งปีแรก ทำให้พฤกษาฯ สามารถระบายสต๊อกได้ถึง 80% จากสต๊อกที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จพร้อมอยู่ ณ สิ้นปี 62 มีจำนวน 7,739 ยูนิต มูลค่า 25,100 ล้านบาท และในช่วง 2ไตรมาสที่เหลือนี้ คาดว่าจะสามารถระบายสต๊อกออกไปได้อีกกว่า 5,000-7,000 ล้านบาท
นายสมบูรณ์ ทรงพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยว กล่าวว่า สำหรับกลุ่มบ้านเดี่ยวของพฤกษาฯ ประกอบไปด้วยสินค้าใน 3 แบรนด์หลัก คือ แบรนด์เดอะแพลนท์ บ้านเดี่ยวขนาดเล็ก และบ้านแฝด 3-5 ล้านบาท ขนาดพื้นที่ไม่เกิน 200 ตารางเมตร (ตร.ม.) แบรนด์ภัสสร บ้านเดี่ยวขนาดกลาง ขนาดพื้นที่ 200-220 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 5-7 ล้านบาท และแบรนด์เดอะปาร์ม บ้านเดี่ยวขนาดพื้นที่เริ่มต้น 220-400 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 7-15 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ยังส่งผลต่อตลาด ทำให้บริษัทลดจำนวนการเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวจาก 6 โครงการเหลือ 3 โครงการ โดยก่อนหน้านี้ได้เปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยว แบรนด์ภัสสร ไปแล้ว 1 โครงการ และล่าสุด ได้เปิดขายโครงการเดอะปาร์ม แจ้งวัฒนะ-ชัยพฤกษ์ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ราคาเริ่มต้น 7-15 ล้านบาท จำนวน 172 ยูนิต บนเนื้อที่โครงการ 53 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท ซึ่งหลังเปิดขายในวันที่ 19-20 ก.ย.ที่ผ่านมา สามารถสร้างยอดขายได้แล้ว 220 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีแผนจะเปิดตัวโครงการเดอะแพลนท์ ในช่วงปลายเดือน ต.ค.