SCGP เตรียมระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ หลังธุรกิจแพกเกจจิ้งโตต่อเนื่อง แม้เผชิญวิกฤตโควิด-19 พร้อมกำหนดราคาเสนอขาย IPO เบื้องต้น 33.50-35.00 บาทต่อหุ้น เปิดให้จองซื้อวันที่ 28 กันยายน-7 ตุลาคม และคาดเข้าทำการซื้อขายภายในตุลาคมนี้
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า SCGP เตรียมเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 1,127.6 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 26.5 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ และอาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Over Allotment) อีกไม่เกิน 169.1 ล้านหุ้น รวมคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 29.3 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายครั้งนี้ (กรณีที่มีการใช้สิทธิซื้อหุ้นส่วนเกินทั้งจำนวน) พร้อมกำหนดราคาเสนอขายเบื้องต้น 33.50-35.00 บาทต่อหุ้น เตรียมเปิดให้จองซื้อวันที่ 28 กันยายน-7 ตุลาคมนี้ (ขึ้นอยู่กับประเภทของผู้จองซื้อ) และคาดว่าจะนำหุ้น SCGP เข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในเดือนตุลาคมนี้
ทั้งนี้ ผู้บริหาร SCGP ย้ำว่าแม้มีการระบาดของโรคโควิดช-19 ที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ แต่ในทางกลับกันส่งผลดีต่อธุรกิจบรรจุภัณฑ์ตามการเติบโตของธุรกิจอี คอมเมิร์ซ ฟูดเดลิเวอรี อาหารส่งออก สินค้าอุปโภคบริโภคที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน และกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพและสุขอนามัย ส่งผลให้การดำเนินงานครึ่งปีแรก 2563 มีรายได้จากการขายรวม 45,903 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
พร้อมมองว่า อาเซียนเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยประเทศไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มีประชากรรวมกันกว่า 500 ล้านคน และมี 4 เมกะเทรนด์ที่จะส่งผลดีต่อปริมาณการใช้บรรจุภัณฑ์ ได้แก่ อัตราการบริโภคบรรจุภัณฑ์กระดาษและบรรจุภัณฑ์จากโพลิเมอร์ที่เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงของจำนวนประชากรและไลฟ์สไตล์ การเติบโตของธุรกิจอี คอมเมิร์ซ และการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น ขณะที่ปัจจุบัน SCGP มีส่วนแบ่งในตลาดอาเซียน 36% ดังนั้น การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้จะนำเงินเพื่อขยายธุรกิจ ทั้งในรูปแบบการขยายกำลังการผลิต การร่วมทุน การเข้าซื้อกิจการ การชำระคืนเงินกู้ยืม และสำหรับเป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ