SCGP ลั่นนำหุ้น IPO เข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ภายใน ต.ค.นี้ โดยเคาะราคาหุ้น IPO วันที่ 8 ต.ค. เผยเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนนำมาใช้ขยายธุรกิจที่วางแผนลงทุน 2.7 หมื่นล้านบาทภายในปี 66 เพื่อสร้างความแกร่งในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในภูมิภาคนี้ รวมทั้งใช้คืนหนี้และเป็นทุนหมุนเวียน
นางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจำหน่าย และรับประกันการจำหน่ายร่วม เปิดเผยว่า ขณะนี้แบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ของ บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และแบบ Filing ของ SCGP มีผลบังคับใช้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะสามารถนำหุ้น SCGP เข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในเดือน ต.ค.นี้
ทั้งนี้ SCGP เสนอขายหุ้นหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 1,127.6 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาท คิดเป็นร้อยละ 26.5% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด โดยกำหนดช่วงราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 33.50-35 บาทต่อหุ้น จากนั้นจะสำรวจความต้องการจองซื้อหุ้น IPO ของนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) เพื่อกำหนดราคาเสนอขายสุดท้ายในวันที่ 8 ต.ค. 63
โดยราคาที่เสนอขาย 33.50-35 บาทต่อหุ้น คิดเป็น P/E ที่ระดับ 22-23 เท่า เมื่อเทียบกับธุรกิจ integrated packaging และหุ้นอุปโภคบริโภค เช่น CPALL, OSP ที่มี P/E 30 เท่า
หุ้น SCGP ได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยมีกลุ่มนักลงทุนหลักแบบเฉพาะเจาะจง (Cornerstone Investors) จำนวน 18 รายลงนามสัญญา Cornerstones Placing Agreement รวม 676.53 ล้านหุ้นหรือประมาณ 60% ของหุ้น IPO ที่เสนอขาย
อย่างไรก็ตาม SCGP กำหนดระยะเวลาจองซื้อหุ้น IPO แต่ละประเภทดังนี้ ผู้ถือหุ้นของ SCGP ที่มีสิทธิได้รับการจัดสรร, ผู้ถือหุ้นของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้น, ผู้มีอุปการคุณของ SCGP สามารถจองซื้อในวันที่ 28 ก.ย.ถึง 2 ต.ค. 63 ขณะที่ผู้จองซื้อรายย่อยสามารถจองซื้อได้ในวันที่ 1, 2 และ 5 ต.ค. 63 และลูกค้าผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์จองซื้อหุ้นวันที่ 5-7ต.ค.นี้
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) กล่าวว่า เงินที่ได้จากการขายหุ้น IPO ครั้งนี้จะนำไปใช้เป็นเงินลงทุนในการขยายธุรกิจด้วยการขยายกำลังการผลิตของบริษัท (organic) การเข้าซื้อกิจการ รวมถึงทรัพย์สินอื่น (inorganic) และ/หรือการลงทุนเพื่อบำรุงรักษา ประมาณ 27,000 ล้านบาท ภายในปี 66 รวมทั้งชำระคืนเงินกู้ยืมให้สถาบันทางการเงิน 10,004-13,000 ล้านบาท ภายในปี 64 และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ
บริษัทได้วางกลยุทธ์ขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนเพื่อมุ่งสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน โดยชูศักยภาพเป็นผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน มุ่งเน้นตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย ครอบคลุมทั้งบรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษ กระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์ ทั้งแบบอ่อนตัวและแบบคงรูป บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหาร เยื่อกระดาษและกระดาษพิมพ์เขียน โดยมีการออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ส่งผลให้บริษัทฯ เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง
ปีนี้บริษัทฯ ได้ทำการเจรจาและลงนามในสัญญาซื้อหุ้นกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Bien Hoa Packaging Joint Stock Company (SOVI) ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูกรายใหญ่ในเวียดนามที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ นอกจากนี้อยู่ระหว่างขยายกำลังผลิตอีก 4 โครงการ ใช้เงินลงทุนรวม 8,200 ล้านบาท ได้แก่ โครงการขยายกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ เงินลงทุน 5,388 ล้านบาทในฟิลิปปินส์, โครงการขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว เงินลงทุน 600 ล้านบาทในประเทศไทย, โครงการขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว เงินลงทุน 543 ล้านบาทในเวียดนาม และโครงการขยายกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ เงินลงทุน 1,735 ล้านบาทในอินโดนีเซีย โดยโครงการเหล่านี้จะทยอยแล้วเสร็จในปี 2563-2564 ช่วยเพิ่มความสามารถการผลิตบรรจุภัณฑ์และขยายส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น
ปัจจุบันบริษัทมี 40 โรงงานใน 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย นอกจากนี้ยังมีฐานลูกค้าในอุตสาหกรรมที่หลากหลายครอบคลุมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน และสินค้าอุตสาหกรรม โดยบริษัทมีส่วนแบ่งตามมูลค่าการขายในภูมิภาคอาเซียน 36%
ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้จากการขายเติบโตเฉลี่ย 6.1% ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา (2559-62) โดยในปี 2562 มีรายได้จากการขายรวม 89,070 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 5,891 ล้านบาท บริษัทมีกำไรสุทธิโตเฉลี่ย 4 ปีอยู่ที่ 15.2%
สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งแรกปีนี้ บริษัทมีรายได้จากการขาย 45,903 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 10.5% และกำไรสุทธิ 4,198 ล้านบาท โตขึ้น 45.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน