บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) แนะนำ "ซื้อ" หุ้น EP รับอานิสงส์ย้ายหุ้นเทรดกลุ่มพลังงาน อนาคตดี คาดค่าพีอีเรโชขยับขึ้นอิงค่าเฉลี่ยของกลุ่ม ยกระดับความน่าสนใจลงทุน ขณะที่ประเมินผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/63 ลุ้นมีกำไรจากเงินบาทอ่อนค่า แม้ธุรกิจทรงตัวจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19
บทวิเคราะห์ของ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่าได้แนะนำซื้อหุ้นบริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EP โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 5.10 บาท เนื่องจากเตรียมย้ายเข้ากลุ่มพลังงาน (โรงไฟฟ้า) ขณะที่ให้มูลค่าหุ้นในแต่ละธุรกิจ ประกอบด้วย ธุรกิจโรงพิมพ์ 0.34 บาทต่อหุ้น (PBV 0.15 เท่า), ธุรกิจกล่องลูกฟูก 0.28 บาทต่อหุ้น (PE 9 เท่า) และธุรกิจโรงไฟฟ้า 4.46 บาทต่อหุ้น (DCF)
ทั้งนี้ EP จะทำการย้ายหมวดอุตสาหกรรมฯ จากหมวดสิ่งพิมพ์ไปยังหมวดพลังงาน คาดเป็นบวกต่อ Sentiment การลงทุน เนื่องจากการย้ายจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่แนวโน้มชะลอตัวไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังเติบโต ขณะที่ PE อาจถูก Re-rate ขึ้น เมื่อทำการพิจารณาเปรียบเทียบกับกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้า
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2563 คาดกำไรปกติทรงตัวจากไตรมาส 1/2563 แต่เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นราว 6% QTD ทำให้คาดว่ามีโอกาสที่จะกลับรายการผลขาดทุนฯ เป็นกำไรในไตรมาส 2 ของปีนี้ (ทั้งนี้รายการดังกล่าวไม่กระทบต่อการประเมินมูลค่าเหมาะสม)
รายงานระบุว่า ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม (EP ถือหุ้น PPTC 49.5% / SSUT 40%) ที่มีลูกค้าในนิคมฯ ลาดกระบัง และบางปู ตามลำดับ ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ทำให้ดีมานด์การใช้ไฟฟ้าในไตรมาส 2/2563 ชะลอตัวลงจากงวดเดียวกันปีก่อนเล็กน้อย เนื่องจากผู้ใช้อุตสาหกรรมจะเป็นจำพวกการผลิตเพื่อบริโภคในประเทศ อย่างไรก็ดี จากการสัมภาษณ์ผู้บริหารล่าสุดปริมาณขายไฟฟ้าในเดือนมิถุนายนกลับสู่ระดับใกล้เคียงปกติแล้ว
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยฯ ปรับสมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนสิ้นปี 2563 เป็น 31.5 บาทต่อดอลลาร์ (เดิม 30 บาท/ดอลลาร์) ทำให้คาดว่าปี 2563 จะมีการบันทึกผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนราว 105 ล้านบาท กำไรสุทธิจึงปรับลดลงเป็น 207.6 ล้านบาท (ลดลง 34%) แต่ยังคงประมาณการฯ กำไรปกติไว้ตามเดิม 313 ล้านบาท (คำนึงถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสฯ ในประมาณการแล้ว)
นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนโรงไฟฟ้าที่ประเทศเวียดนาม (เป็น Upside ที่ยังไม่รวมในประมาณการ)
สำหรับแนวโน้มดีมานด์กล่องลูกฟูก และบรรจุภัณฑ์กระดาษในไตรมาส 2/2563 คาดจะชะลอตัวลงบ้าง แม้ว่าจะมีดีมานด์จากธุรกิจชอปปิ้งออนไลน์ แต่กล่องบรรจุภัณฑ์สำหรับการส่งออกสินค้าลดลงโดยเฉพาะในเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม ทำให้คาดว่าผลการดำเนินงานของสายธุรกิจนี้จะชะลอตัวลงเล็กน้อยในไตรมาส 2/2563 ก่อนที่จะฟื้นตัวในครึ่งปีหลังของปีนี้
ขณะที่ส่วนต่างราคาขายกล่องลูกฟูกเฉลี่ยกับราคาต้นทุนกระดาษคราฟต์ล่าสุดเดือนมกราคม ถึงเมษายน ยังทรงตัวในเกณฑ์สูงใกล้เคียงไตรมาส 4/2562 แสดงถึงดีมานด์ที่ยังแข็งแกร่ง