ธปท.เผยผลการดำเนินงานธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 2 พิษโควิด-19 ดึงกำไรสุทธิลด 50% สินเชื่อขยายตัว 5% ย้ำในปี 63 ฐานะเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ไม่น่าหว่งยังคงแข็งแกร่งขยายธุรกิจได้ตามเป้า รอดูแผนการดำเนินธุรกิจของธนาคารในเดือนตุลาคมเพื่อประเมินและกำหนดมาตรการระยะ 2 และจ่ายปันผลต่อไป
นายธาริฑธิ์ ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตรวจสอบและวิเคราะห์ความเสี่ยงสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ ไตรมาส 2 ปี 2563 ว่า ระบบธนาคารพาณิชย์มีความมั่นคง ระดับเงินกองทุนและเงินสำรองอยู่ในระดับสูง สามารถสนับสนุนระบบเศรษฐกิจการเงินในภาวะที่ท้าทายในระยะต่อไปได้ มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้และการผ่อนปรนการจัดชั้นลูกหนี้ ช่วยสนับสนุนสินเชื่อและชะลอการด้อยลงของคุณภาพสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์
ขณะที่ผลประกอบการของระบบธนาคารพาณิชย์ปรับตัวลดลงจากการกันสำรองเพิ่มขึ้น เพื่อเตรียมรองรับคุณภาพสินเชื่อที่อาจด้อยลงจากผลกระทบของ COVID-19 โดยมีรายละเอียดดังนี้
ระบบธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุนทั้งสิ้น 2,877 พันล้านบาท หรืออัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) ที่ 19.2% เงินสำรองอยู่ในระดับสูงที่ 743.7 พันล้านบาท หรืออัตราส่วนเงินสำรองที่มีต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL coverage ratio) ที่ 144.1% และอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับกระแสเงินสดที่อาจไหลออกในภาวะวิกฤต (Liquidity Coverage Ratio : LCR) ที่ 183.4%
“ธปท.รอดูแผนการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ทึ่จะส่งมาในช่วงเดือนตุลาคม ซึ่งจะเห็นภาพชัดเจนและมีการประเมินสถานการณ์เพื่อใช้ในการกำกับดูแลหรือออกมาตรการในระยะที่ 2 เพื่อช่วยเหลือธนาคารพาณิชย์และลูกหนี้และการจ่ายปันผลของธนาคารพาณิชย์ต่อไป”
อย่างไรก็ตาม ธปท.ได้หารือกับธนาคารพาณิชย์อย่างต่อเนื่องถึงสถานการณ์เพื่อดูแลป้องกันปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยฐานะเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ปี 63 นี้ ไม่น่าหว่งหรือเกิดปัญหาใดๆ คงมีความแข็งแกร่งสามารถขยายธุรกิจได้ตามเป้าหมาย
ภาพรวมการเติบโตของสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 2 ปี 2563 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.0% เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน จาก 4.1% ในไตรมาสก่อน โดยมีรายละเอียดดังนี้
สินเชื่อธุรกิจ (65.2% ของสินเชื่อรวม) ขยายตัวที่ 5.1% ตามการใช้สินเชื่อของภาครัฐ และธุรกิจขนาดใหญ่ สำหรับสินเชื่อ SMEs ได้รับการสนับสนุนจากมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) เป็นผลให้หดตัวในอัตราที่ลดลง
สินเชื่ออุปโภคบริโภค (34.8% ของสินเชื่อรวม) ขยายตัว 4.8% ชะลอลงจากไตรมาสก่อนในเกือบทุกประเภทสินเชื่อ สอดคล้องต่อการหดตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ขณะที่สินเชื่อที่อยู่อาศัยขยายตัวเพิ่มขึ้นสอดคล้องต่อุปสงค์ในตลาดที่อยู่อาศัยที่ปรับดีขึ้นภายหลังการทยอยผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง
คุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2563 ทรงตัวจากไตรมาสก่อน จากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เชิงป้องกัน (pre-emptive) ซึ่งช่วยชะลอการด้อยลงของคุณภาพสินเชื่อ โดยยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Non-Performing Loan : NPL หรือ stage 3) อยู่ที่ 509.0 พันล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมที่ 3.09% เทียบกับไตรมาสก่อนที่ 3.04% โดยเพิ่มขึ้นจากธุรกิจสายการบินขนาดใหญ่เป็นหลัก ขณะที่สัดส่วนสินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (Significant Increase in Credit Risk : SICR หรือ stage 2) อยู่ที่ 7.48% ลดลงจากไตรมาสก่อนที่ 7.69%
ในไตรมาส 2 ปี 2563 ระบบธนาคารพาณิชย์มีกำไรสุทธิ 31.0 พันล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนที่ 53.3 พันล้านบาท โดยหลักจากการกันสำรองเพิ่มขึ้น เพื่อเตรียมรองรับคุณภาพสินเชื่อที่อาจมีแนวโน้มด้อยลง ประกอบกับรายได้จากธุรกิจหลักของธนาคารปรับลดลง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Return on Assets : ROA) ลดลงมาอยู่ที่ 0.57% จาก 1.03% ในไตรมาสก่อน
สำหรับอัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ดอกเบี้ยเฉลี่ย (Net Interest Margin : NIM) ลดลงมาอยู่ที่ 2.60% จากไตรมาสก่อนที่ 2.90% ซึ่งเป็นผลจากรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลงสอดคล้องต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายและการปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Institutions Development Fund : FIDF) เพื่อช่วยลดภาระดอกเบี้ยของภาคธุรกิจและประชาชนเป็นสำคัญ