SMART มั่นใจยอดขายปี 2563 เติบโตไม่ต่ำกว่า 5% รักษาอัตรากำไรสุทธิ 10% มองครึ่งปีหลังตลาดอิฐมวลเบาในประเทศโตต่อเนื่อง จากความต้องการอิฐมวลเบา-บล็อกมวลเบาตกแต่งที่ได้มาตรฐานและประหยัดพลังงาน ชูกลยุทธ์ขยายช่องทางจัดจำหน่าย เช่น โมเดิร์นเทรด ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ปั๊มยอดขาย เจาะกลุ่มลูกค้าสถาปนิก ผู้รับเหมารายย่อย ด้านตลาดต่างประเทศเดินหน้าเพิ่มพันธมิตร ขยายฐานลูกค้าในกลุ่ม CLMV
นายรังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด (มหาชน) (SMART) ผู้ผลิตและจำหน่ายอิฐมวลเบาด้วยระบบอบไอน้ำภายใต้ความดันสูงเพื่อใช้ในงานก่อสร้าง และงานกั้นผนังอาคาร เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบาในประเทศครึ่งปีหลังมีทิศทางที่ดีกว่าครึ่งปีแรก และคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้จะสามารถเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ไม่ต่ำกว่า 5% และรักษาความสามารถอัตราการทำกำไรสุทธิที่ระดับ 10%
ทั้งนี้ มีปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ EEC ผลักดันให้เกิดการลงทุนก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม โรงงาน โครงการเมกะโปรเจกต์ขนาดใหญ่ของภาครัฐ เช่น โครงการพัฒนารถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้า และรถไฟรางคู่ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์น่าจะปรับตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น นโยบายลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองสำหรับผู้ซื้อที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท จะทำให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่น มีความต้องการที่อยู่อาศัย และกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงครึ่งปีหลัง
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยจากความเชื่อมั่นของกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสำคัญในการใช้วัสดุอิฐมวลเบาที่ได้มาตรฐาน และประหยัดพลังงาน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ปริมาณการใช้งานและความต้องการสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบา ปรับตัวดีขึ้น และราคาจำหน่ายอิฐมวลเบาปรับตัวเพิ่มขึ้น
สำหรับการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ผลักดันสินค้าผ่านช่องทางการจำหน่ายให้หลากหลายมากขึ้น เช่น โมเดิร์นเทรด ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง และเพิ่มตัวแทนจำหน่ายร้านค้าวัสดุก่อสร้างจึงสามารถกระจายสินค้าเข้าสู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั่วประเทศ พร้อมกับการทำการตลาดเชิงรุก แนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จัก รวมถึงการขยายฐานลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งมุ่งเน้นการทำตลาดผลิตภัณฑ์ใหม่ "อิฐมวลเบาประเภทตกแต่ง" ต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้า ควบคู่กับการใช้กลยุทธ์ O2O (Online to Offline) กระตุ้นการสร้างยอดขายให้เติบโต และสร้างการรับรู้แก่ลูกค้าในวงกว้าง ผ่านสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีกระแสตอบรับที่ดีและมีคำสั่งซื้อจากโครงการในภาคตะวันออก กลุ่มลูกค้าสถาปนิก และผู้รับเหมารายย่อยมากขึ้น
สำหรับการขยายตลาดกลุ่มประเทศ CLMV บริษัทส่งสินค้าไปจำหน่ายในประเทศกัมพูชาและ สปป.ลาว เพื่อใช้ในงานก่อสร้างและงานโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ซึ่งมีกระแสตอบรับที่ดีและมีออเดอร์สั่งซื้อสินค้าต่อเนื่องจากตัวแทนจำหน่ายในประเทศดังกล่าวโดยบริษัทยังคงเดินหน้าเจรจาหาพันธมิตรเป็นตัวแทนจำหน่าย เพื่อขยายตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนรายได้ในประเทศ 98% แบ่งเป็นงานภาครัฐ 60% ภาคเอกชน 40% และสัดส่วนรายได้ต่างประเทศ 2%