‘บมจ. ซีวิลเอนจีเนียริง’ รับลูกภาครัฐเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศอย่างต่อเนื่อง และเศรษฐกิจมีทิศทางเริ่มฟื้นตัวจาก COVID-19 ชูเทคโนโลยีก่อสร้างและระบบไอทีช่วยบริหารโครงการ เพิ่มประสิทธิภาพจัดการในทุกด้าน ทั้งต้นทุน ระยะเวลา คุณภาพและความปลอดภัยสร้างโอกาสคว้างานใหม่ๆ
นายปิยะดิษฐ์ อัศวศิริสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ นำจุดแข็งการดำเนินธุรกิจที่มีประสบการณ์ที่มีความชำนาญในงานวิศกรรมโยธา ทั้งงานทาง งานท่าอากาศยาน งานรถไฟ งานเขื่อนอ่างเก็บน้ำ ที่ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานภาครัฐและขึ้นทะเบียนให้ CIVIL เป็นผู้รับเหมาชั้นพิเศษงานก่อสร้างจากหน่วยงานภาคราชการต่างๆ เช่น กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และกรุงเทพมหานคร ตอกย้ำการเป็นนักบริหารโครงการก่อสร้างที่มีคุณภาพ ทำให้มีโอกาสเข้าร่วมประมูลโครงการใหม่ๆ จากนโยบายภาครัฐที่ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
พร้อมกันนี้ มีการนำหลักบริหารจัดการสมัยใหม่ เน้นความคล่องตัวและความยืดหยุ่น เข้ามาวางแผนบริหารโครงการ โดยนำเทคโนโลยีการก่อสร้างและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) มาช่วยจัดสรรทรัพยากรต่างๆ ที่เอื้อต่อการพัฒนาโครงการก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพ ทั้งด้านระยะเวลา ต้นทุน คุณภาพงานและความปลอดภัย เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันในเชิงธุรกิจรองรับการขยายงานใหม่ๆ และสร้างโอกาสการเติบโตให้แก่องค์กร
ทั้งนี้ จากข้อมูลฝ่ายวิจัยของธนาคารกรุงศรีฯ คาดว่าในปีนี้ งานก่อสร้างภาครัฐจะขยายตัวร้อยละ 2-3 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการเร่งดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) อย่างต่อเนื่อง ทั้งทางด้านคมมนาคมและสาธารณูปโภค ได้แก่ รถไฟความเร็วสูงเชื่อมสนามบิน โครงการรถไฟรางคู่ โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง เป็นต้น สอดคล้องบทวิจัยของ SCB EIC ระบุว่า อุปสงค์งานก่อสร้างภาครัฐยังขยายตัวได้ดี สะท้อนจากงบลงทุนรวมของหน่วยงานหลัก ได้แก่ กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมชลประทาน และกรมโยธาธิการและผังเมือง ที่มีเม็ดเงินลงทุนราว 2.34 แสนล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภค เช่น งานก่อสร้างและบำรุงถนน เป็นต้น
“ภาครัฐยังเดินหน้าลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ด้านคมนาคมและสาธาณูปโภคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นโอกาสของ CIVIL ในการเข้าไปรับงานจากภาครัฐเพิ่มเติม และเปิดโอกาสใหม่ในการรับงานก่อสร้างจากบริษัทพันธมิตรเอกชน พร้อมเพิ่มอัตราการจ้างงานหลังจากวิกฤติ COVID-19 โดยนำจุดแข็งด้านบุคลากรที่มีความชำนาญงานวิศวกรรมโยธาที่หลากหลายและซับซ้อน มาผนวกกับแนวคิดบริหารโครงการก่อสร้างแบบสมัยใหม่ เพื่อพัฒนาโครงการให้บรรลุเป้าหมายทั้งในเชิงคุณภาพ ระยะเวลา และบริหารต้นทุนได้ดีที่สุด เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทั้งประเทศ” นายปิยะดิษฐ์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเน้นการพัฒนาบุคลากรเพิ่มความชำนาญงานในวิศวกรรมโยธา และลงทุนเทคโนโลยีเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินโครงการ ล่าสุด บริษัทฯ ได้ลงทุนเครื่องจักรติดตั้งชิ้นส่วนสำเร็จ หรือ Launcher ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างผู้เชี่ยวชาญและบุคลากรของบริษัทฯ ออกแบบและสร้างเครื่องจักร เพื่อนำมาใช้ในการดำเนินโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคหลากหลายประเภท ช่วยลดปริมาณแรงงานและลดระยะเวลาเมื่อเทียบกับการใช้วิธีการก่อสร้างแบบเดิมได้ 2-3 เท่า