xs
xsm
sm
md
lg

บล.ทรีนีตี้แนะนำลงทุนในหุ้นขนาดกลาง-เล็ก เหตุกำไรเติบโตดี

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บล.ทรีนีตี้มองหุ้นเดือน ส.ค.แกว่งตัว 1,270-1,360 จุด ประเมินหุ้นขนาดกลาง-เล็กจะ Outperform ตลาดต่อไป เหตุกำไรเติบโตดี แถมพี/อียังต่ำ

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยทิศทางการลงทุนเดือนสิงหาคม 2563 ว่า ดัชนีหุ้นไทยเริ่มอยู่ในระดับที่สมดุลมากขึ้น หลังปรับตัวลงมาช่วงปลายเดือน ก.ค. จนล่าสุดอยู่ในบริเวณกึ่งกลางของกรอบที่ให้ไว้ประจำเดือนนี้ มีกรอบแนวต้านที่ระดับ 1,360 จุด อิงพี/อี ล่วงหน้าที่ 16.8 เท่า และ EPS ของตลาดปีหน้าที่ 81 บาท ขณะที่มีแนวรับที่ 1,270 จุด อิงพี/อี ล่วงหน้าที่ 15.7 เท่า มองหากดัชนีหลุดระดับ 1,300 จุดลงมาถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการทยอยเพิ่มน้ำหนักหุ้นรอบใหม่ หลังแนะนำให้ชะลอการลงทุนมาตลอดช่วงที่ผ่านมา

“ตลาดหุ้นเดือน ส.ค.น่าจะได้รับปัจจัยหนุนส่วนหนึ่งจากสภาพคล่องที่จะไหลกลับมาจากตลาดพันธบัตรเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ หลังจากวงเงินการประมูลพันธบัตรรัฐบาลในเดือนนี้จะลดลงจากเดือนก่อนอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งน่าจะช่วยลดแรงกดดันการดูดซับสภาพคล่องออกจากตลาดหุ้นที่เกิดขึ้นในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมาได้บ้าง ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นได้ปรับตัวลดลง จนทำให้ Earning yield gap กระเตื้องขึ้นจากจุดต่ำสุด จึงทำให้ความน่าสนใจของ SET Index เริ่มกลับมาบ้าง” นายณัฐชาตกล่าว

สำหรับหุ้นที่สามารถเข้าลงทุน ทรีนีตี้ยังคงแนะนำหุ้นขนาดกลางและเล็ก เพราะเป็นหุ้นที่มีอัตราการเติบโตของกำไรดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่ โดยในปีหน้านักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าหุ้นเหล่านี้จะมีอัตราการเติบโตของกำไรสูงถึง 50-60% เทียบกับอัตราการเติบโตของกำไรของหุ้นขนาดใหญ่ที่อยู่เพียง 20% เท่านั้น ขณะที่พี/อี ล่วงหน้ายังคงอยู่ในระดับต่ำเพียง 14 เท่า เทียบกับหุ้นใหญ่ที่อยู่ที่ 17 เท่า สะท้อนให้เห็นว่าหุ้นขนาดกลาง-เล็กยังน่าลงทุน แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแล้วก็ตาม

ส่วนธีมการลงทุนเดือน ส.ค.แนะนำลงทุนในขนาดกลาง-เล็ก 6 กลุ่ม ดังนี้ 1. กลุ่มบริหารหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน ได้แก่ JMT และ CHAYO 2. กลุ่มเกษตรและอาหาร ได้แก่ TFG, ASIAN, APURE, SUN, XO 3. กลุ่มปั๊มน้ำมัน ได้แก่ PTG 4. กลุ่มแพกเกจจิ้ง ได้แก่ SFLEX, PTL 5. กลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่มีการเติบโตดี ได้แก่ TPCH, SSP และ 6. กลุ่มหุ้นขนาดกลาง-เล็กอื่นที่ยังมี Valuation ถูก เมื่อเทียบกับการเติบโตที่รออยู่ ได้แก่ ILINK, PRM, SMPC

นายณัฐชาตเปิดเผยอีกว่า ปัจจัยเสี่ยงที่จะต้องติดตามในเดือน ส.ค.ซึ่งจะมีผลต่อการลงทุนได้ นั่นก็คือความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะถูกประกาศขึ้นบัญชีดำจากสหรัฐอเมริกาเรื่องแทรกแซงค่าเงินหรือไม่ หลังจากที่ไทยได้เข้าข่ายทั้ง 3 เกณฑ์ที่สหรัฐฯ ตั้งไว้แล้ว โดยหากสหรัฐฯ ไม่นำไทยเข้าสู่รายชื่อดังกล่าวหรือยังให้เวลาไทยในการแก้ตัวเพื่อหลุดจากเกณฑ์ที่กำหนด ก็น่าจะทำให้นักลงทุนลดความกังวลไปได้ส่วนหนึ่ง แต่ในทางกลับกัน หากไทยเข้าสู่บัญชีดำและนำมาสู่มาตรการกีดกันการค้าของสหรัฐฯ ในช่วงถัดไปจะกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยได้ โดยเฉพาะกับสินค้าที่ไทยไม่ได้มีความได้เปรียบ หรือเป็นสินค้าที่สหรัฐฯ มีทางเลือกในการนำเข้าจากประเทศอื่นทดแทนได้ นอกจากนี้ยังต้องจับตาตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจรายงานออกมาอ่อนตัวในเดือนนี้ โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงาน หลังเริ่มได้รับผลกระทบจากการระบาดโควิด-19 รอบสอง ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนในตลาดมีความกังวลใจต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอยู่บ้าง อย่างไรก็ดี เชื่อว่าหากตัวเลขออกมาแย่ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ก็น่าจะพร้อมที่จะอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติมได้ หลังจากช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาเฟดได้มีการเก็บกระสุนผ่านการลดขนาดงบดุลมาโดยตลอด

ส่วนประเด็นสุดท้ายซึ่งถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อย แต่หากเกิดขึ้นจะมีผลกระทบรุนแรง นั่นก็คือ การระบาดของโควิด-19 รอบสองภายในประเทศ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงคาดว่า SET Index จะถูกกดดันจากแรงขาย Panic sell ในช่วงแรก คล้ายๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นเวียดนามในช่วงปลายเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา


กำลังโหลดความคิดเห็น