“ทรีนีตี้” ฉายภาพการลงทุนตลาดหุ้นเดือน ก.พ. 2563 มองกรอบดัชนี 1,470-1,550 จุด แนะนักลงทุนเกาะติดปัจจัยเสี่ยง ไวรัสโคโรน่า-พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 คาด กนง. คงดอกเบี้ยหลังเงินบาทอ่อนค่า แนะลงทุนหุ้น 4 กลุ่มปลอดภัย
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ว่า นักลงทุนยังคงต้องระมัดระวังในการลงทุน โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ทั้งในเรื่องของพัฒนาการของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ การพิจารณา พ.ร.บ งบประมาณ ปี 2563 ที่รอผลการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญกรณีเสียบบัตรแทน การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รวมถึงการเข้ามาซื้อขายของหุ้น CRC ที่จะเกิดขึ้นในเดือนนี้ล้วนมีผลกระทบต่อการลงทุนทั้งสิ้น ทางทรีนีตี้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 จะอยู่ในระดับ 1,470-1,550 จุด
“ กรณีไวรัสโคโรน่า หากจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตยังไม่มีแนวโน้มชะลอลง คาดว่าจะเป็นปัจจัยกดดันราคาสินทรัพย์ต่อไป โดยเฉพาะตราสารและสกุลเงินเอเซีย รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่นน้ำมัน ทั้งนี้มองว่าจุดซื้อที่ดีที่สุดของหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้อง ทั้งโรงแรม สายการบิน สนามบิน โรงกลั่น ยังคงได้แก่การรอให้ทาง WHO ประกาศว่าเชื้อไวรัสดังกล่าวสามารถที่จะถูกควบคุมได้อย่างเป็นทางการแล้ว ”
สำหรับการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 5 ก.พ.นี้ ทรีนีตี้คาดว่า กนง. จะมีมติคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.25 % ในสถานการณ์ที่เงินบาทกำลังอ่อนค่า
ส่วนประเด็นในเรื่องของการพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 ของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีที่มีการเสียบบัตรแทนว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ หากศาลรัฐธรรมนูญตีตกทั้งฉบับจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีนัยสำคัญและคาดว่าจะเห็นหน่วยงานต่างๆ ออกมาปรับลดประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ลงอีก ซึ่งประเด็นนี้น่าจะทำให้ราคาหุ้นของกลุ่มที่เกี่ยวข้อง เช่น รับเหมา ฐานราก วัสดุก่อสร้าง นิคมอุตสาหกรรม ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด
นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามอีกคือ ความเป็นไปได้ที่ทาง MSCI อาจมีการพิจารณาปรับลดน้ำหนักของธนาคารกสิกรไทย( KBANK ) ในการประกาศ Quarterly Index Review ประจำเดือนกุมภาพันธ์นี้ (12 ก.พ.) หลังจากที่ธปท.มีการปรับลด NVDR Limit ของ KBANK ลงจาก 35% มาสู่ระดับ 25% ในช่วงปลายเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งหากไม่เกิดขึ้นในรอบนี้ คาดว่าอย่างช้าจะเกิดขึ้นภายในรอบการประกาศ Semi-Annual Index review ถัดไปวันที่ 12 พ.ค.นี้
นายณัฐชาต กล่าวว่า ในช่วงจังหวะนี้ ยังคงแนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ปลอดภัย ได้แก่ 1. กลุ่มทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์(REIT) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) ล่าสุด Bond yield สหรัฐฯ และไทยทำจุดต่ำสุดใหม่ต่อเนื่อง ส่งผลให้ Dividend yield gap ของกลุ่มปรับตัวสูงขึ้นอัตโนมัติ 2.กลุ่มโรงพยาบาล ที่มักเป็นกลุ่มที่ Outperform ตลาดในช่วงที่เกิดโรคระบาด เลือก บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS และ บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH 3.กลุ่มสถาบันการเงินที่มิใช่ธนาคาร ที่ไม่มีความเกี่ยวโยงกับโรคระบาด และมีโอกาสซื้อสินทรัพย์ในราคาถูก ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เลือก บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM และ 4.กลุ่มอาหาร ที่ได้ประโยชน์จากราคาสัตว์บกที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงเงินบาทที่ปรับตัวอ่อนค่าเลือก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF
สำหรับการเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ของหุ้น บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC ) ประเมินว่า หุ้น CRC จะ เข้าเกณฑ์หุ้นที่สามารถถูกนำเข้าคำนวณดัชนี SET50 และ SET100 ได้ทันที ทั้งนี้จากการประเมินหุ้น Market cap ของสมาชิกดัชนีทั้งสองล่าสุด คาดว่าหุ้นที่จะถูกถอดออกจากดัชนี SET50 และ SET100 แทนก็คือ บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP และบริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV ตามลำดับ แนะนำหลีกเลี่ยงหุ้นทั้ง 2 ตัวไปก่อนในช่วงนี้
นอกจากนี้หุ้น CRC ที่มีแนวโน้ม PE สูงกว่าตลาดจะทำให้ PE ของ SET Index ปรับตัวสูงขึ้นโดยอัตโนมัติ ผ่านประมาณการ EPS ที่ถูกลดทอนลง ทั้งนี้ จากการคำนวณของทรีนีตี้ล่าสุด พบว่าประมาณการ EPS ของ SET ปี 2020 และ 2021 จะถูกปรับลงราว 1.5 -1.7 บาทจากเดิม หรือราว 1.5 -1.6% ซึ่งจะทำให้ Upside ของ SET Index ถูกจำกัดมากขึ้นไปอีก