บลจ.ทาลิสตั้งเป้า AUM แตะ 2 หมื่นล้านบาท รุกขยายฐานลูกค้ากองส่วนบุคคลและกองทุนรวม มั่นใจยังมีโอกาสแบ่งแชร์เน้นลูกค้าที่เข้าใจการลงทุนในหุ้นเป็นหลัก พร้อมแนะสับเปลี่ยนกอง LTF เพื่อประโยชน์สูงสุดของนักลงทุน ระบุหุ้นไทยปีนี้อยู่ในกรอบ 1,500-1,750 จุด แนะรอความชัดเจนผู้ป่วยโคโรนาก่อนลงทุนรอบใหม่ แต่คาดอนาคตฟื้นตัวหุ้นไทยระยะยาวอีก 5 ปีดี เหตุช่วงที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนต่ำมาก และเศรษกิจไทยน่าจะปรับตัวดีขึ้นในปีหน้า
นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทาลิส จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้ 2563 บลจ.ทาลิสตั้งเป้าการเติบโตของสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหารอยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 50% ส่วนในปี 2562 ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยจะเผชิญความผันผวนต่อเนื่องตลอดทั้งปี แต่ยังมีนักลงทุนส่วนหนึ่งมองเห็นโอกาสและใช้เป็นจังหวะลงทุนเพื่อเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนระยะยาว บวกกับความเชื่อมั่นที่มีต่อทีมผู้จัดการกองทุนของ บลจ.ทาลิส จึงทำให้มีสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร (AUM) ณ สิ้นปี 2562 ทั้งสิ้น 13,076 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 131% จากสินทรัพย์รวม 5,664 ล้านบาทในปี 2561
ทั้งนี้ การเติบโตดังกล่าวมาจากการขยายตัวของธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลเป็นหลัก ซึ่งมีสัดส่วนถึง 83% ของสินทรัพย์ทั้งหมด โดยมีลูกค้าสถาบันจากต่างประเทศให้ความไว้วางใจเพิ่มขึ้นด้วย ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2562 กองทุนส่วนบุคคลที่ลงทุนในหุ้นไทยมีสินทรัพย์รวม 11,984 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 4,529 ล้านบาทจากปี 2561 ในขณะเดียวกัน กองทุนส่วนบุคคลที่เน้นกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นปันผลและหลักทรัพย์กลุ่ม REIT ยังทำผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่น โดยตลอดทั้งปี 2562 สามารถทำผลตอบแทนได้ถึง 15.72% เทียบกับผลตอบแทนรวม SET Index ที่เพิ่มขึ้นเพียง 4.29% เท่านั้น
“บลจ.ทาลิสเปิดมาได้ 4 ปีกำลังจะเข้าปีที่ 5 และคาดว่าในปีนี้จะมีกำไรจากการดำเนินงานได้ ซึ่งที่ผ่านมาเรามีการเติบโตของกองทุนส่วนบุคคลเป็นหลัก และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบัน ซึ่งที่ผ่านมาลูกค้าของเราจะเป็นนักลงทุนที่เข้าใจการลงทุนอยู่แล้ว" นายฉัตรพีกล่าว
นายฉัตรพีกล่าวว่า ในแง่ของธุรกิจกองทุนรวม บริษัทมีความสนใจที่จะออกกองทุน SFF ประมาณ 2-3 กองทุนในปีนี้ และกองทุนที่เป็นกองทุนผสมระหว่างการลงทุนในตราสารหนี้หุ้นกับอสังหาริมทรัพย์อีก 1 กองทุน นอกจากนี้ ยังมีแผนเปิดรับการสับเปลี่ยนกองทุนรวมหุ้นระยะยาวหรือ LTF สำหรับผู้ที่ต้องการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนมาให้บริษัทดูแลอีกด้วย
ทั้งนี้ ปัจจุบัน บลจ.ทาลิสมีกองทุน LTF ภายใต้การบริหารจำนวน 2 กองทุน ซึ่งประกอบด้วยกองทุนเปิดทาลิส หุ้นระยะยาว (TLLTFEQ) และกองทุนเปิดทาลิส DIVIDEND STOCK หุ้นระยะยาวปันผล (TLDIVLTF-D)
เรายังมีโอกาสในการขยายตัวได้อีกมาก ซึ่งถ้าดูจากกองทุน LTF ทั้งระบบ 4 แสนล้านเรามีเพียง 200 กว่าล้านบาทเท่านั้น และถ้าดูตัวเลขนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ 1.5 ล้านรายเราก็ยังมีฐานให้ขยาย แต่เราต้องทำให้เข้าใจสไตล์ของเรา เช่นเดียวกับกอง LTF ที่ทุกคนมีสิทธิ์สับเปลี่ยนได้เพราะต้องอยู่ไปอย่างน้อย 5-7 ปี ก็ควรดูกองที่น่าจะทำประโยชน์สูงสุดให้แก่เราได้" นายฉัตรพีกล่าว
ด้านนายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ทาลิส เปิดเผยถึงมุมมองการลงทุนในปี 2563 ว่า โดยรวมแล้วเราเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นจากปีที่ผ่านมา แม้ในช่วงแรกอาจได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา ส่วนเศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตที่ระดับ 1.9% ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดหลังจากเกิดวิกฤตในสหรัฐอเมริกา
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย บลจ.ทาลิสคาดว่า SET Index ในปีนี้ะแกว่งตัวในช่วง 1,500-1,750 จุด (P/E of 15-17.5) ภายใต้ประมาณการการเติบโตของ EPS ประมาณ 10% โดยธุรกิจที่ บลจ.ทาลิส ให้ความสนใจว่าปี 2563-2564 จะเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิต่อเนื่อง และสามารถประมาณการกำไรได้ง่าย คือ กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มเงินทุนฯ และกลุ่มขนส่ง-ทางอากาศ
"หุ้นไทยในปีนี้น่าจะได้รับผลกระทบ ทั้งจากการเบิกงบประมาณที่ล่าช้า และปัญหาการระบาดของไวรัสโคโรนาในจีน และในปีนี้เองต่างชาติคงจะยังไม่กลับเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยหลังจากขายออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้าจะเข้าจริงๆ คงต้องดูปลายปีอีกที แต่ถ้าโคโรนาจบงบประมาณผ่านไปครึ่งหลังหุ้นไทยก็มีโอกาสกลับมาได้ ซึ่งนักลงทุนควรดูความชัดเจนของตัวเลขผู้ป่วย และการระบาดก่อนจะเข้าลงทุนเพิ่ม อย่างไรก็ตาม หากมองอนาคตเชื่อว่าหุ้นไทยจะสามารถปรับตัวดีขึ้นได้ในระยะยาว โดยเฉพาะในปี 2021-2025 หุ้นไทยอัตราตัวอยู่ในระดับ 1,900 ถึง 2,000 จุดได้" นายประภาสกล่าว
นายประภาสกล่าวอีกว่า ถึงแม้พัฒนาการของสงครามการค้า ความกังวลเกี่ยวกับสงครามและการก่อการร้าย รวมถึงการแพร่กระจายของโรคไวรัสโคโรนา รวมทั้งผลกระทบจากปัจจัยภัยแล้ง และการใช้จ่ายงบประมาณปี 2563 ที่อาจล่าช้า ก็ยังเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทยในครึ่งแรกของปี
ในขณะเดียวกัน หากอัตราดอกเบี้ยในปี 2563 ของไทยมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอีกก็จะเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทยเช่นกัน โดยเชื่อว่า ธปท.จะมีการปรับดอกเบี้ยลดลง 0.25% ในการประชุมรอบนี้ และทั้งปีอัตราดอกเบี้ยน่าจะลดลงได้ถึง 0.5% โดยจะทำให้เป้าหมาย SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 70-80 จุดในการลดทุก 0.25% แต่อย่างไรก็ตาม หากประมาณการกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนถูกปรับลดลง 4% ก็จะหักล้างผลบวกจากอัตราดอกเบี้ยลดลง 0.25% เช่นกัน
“ปัจจัยที่จะสนับสนุนให้ SET Index เป็นขาขึ้นได้ ส่วนหนึ่งเพราะปี 2562 ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจและผลประกอบการที่ออกมาไม่ดีนัก บวกกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ทำให้เชื่อว่าเม็ดเงินจากการเพิ่มขึ้นของสภาพคล่องทั่วโลกจะโยกมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนการเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทย” นายประภาสกล่าว